วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ไข้หวัดใหญ่ 2009 หวัดสายพันธุ์ใหม่ ที่ระบาดทั่วโลก


ข่าวคราวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ H1N1 ปรากฎให้เห็นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 แล้ว แต่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีการรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกกังวลว่าไข้หวัดใหญ่ 2009 อาจจะสร้างความรุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก ทั้งนี้ประเทศแถบเอเชียใกล้ๆ บ้านเรา ก็มีรายงานผู้ติดเชื้อแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มาบอกต่อเพื่อเป็นความรู้ค่ะ

สถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุด องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเตือนภัยการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระดับ 5 หมายถึง มีการติดต่อของเชื้อไวรัสจากคนสู่คน และแพร่ระบาดไปอย่างน้อยสองประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก รายงานว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลก ล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 12,954 รายแล้ว ใน 46 ประเทศ และมีจำนวนผู้เสียชีวิต 92 ราย ขณะที่ในประเทศเม็กซิโก มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 85 ราย และมีผู้ติดเชื้อ 4,721 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2552)

รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีชื่อเรียกในประเทศต่างๆ หลายชื่อ คือ ไข้หวัดเม็กซิโก, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอชวัน เอ็นวัน 2009, ไข้หวัดใหญ่จากสุกร (Swine Influenza) เป็นต้น เป็นไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ตามปกติมีการระบาดในหมูเท่านั้น สามารถพบได้ทั้งในหมูเลี้ยง และหมูป่า ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้ง H1N1, H1N2 และ H3N2 แต่บางครั้งหมูอาจมีเชื้อไข้หวัดอยู่ในตัวมากกว่า 1 ชนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดการผสมกันของยีนได้ ทำให้เกิดเป็นไวรัสชนิดใหม่ที่สามารถข้ามสายพันธุ์มาติดต่อยังมนุษย์ได้ เริ่มต้นจากการสัมผัสกับหมูที่เป็นโรค สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เริ่มแพร่ระบาดในประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายๆ ประเทศทั่วโลกนั้น เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) ซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ของคน และไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากเป็นการผสมกันของสารพันธุกรรมไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์, ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อ H1N1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น

วิวัฒนาการไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก่อนที่ไข้หวัดหมูดั้งเดิมจะกลายพันธุ์เป็นไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ดั้งเดิม พบมาตั้งแต่ ค. ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก จนมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ส่วนใหญ่อายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จากนั้นโรคไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในช่วงต่างๆ ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่มากกว่า 50 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมู และมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมูได้แพร่ระบาดในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน ต่อมาใน ค.ศ.1988 หญิงตั้งครรภ์คนหนึ่งเสียชีวิตในรัฐวิสคอนซิน และมีประวัติสัมผัสหมู จึงเกิดการสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จนกระทั่งปี ค.ศ.1998 จึงพิสูจน์พบว่า หมูที่เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกา มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดา

จากนั้นในเดือนพฤศจิกายน 2008 ได้พบไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ (H1N1) ที่ประเทศสเปน จากหญิงอายุ 50 ปีที่ทำงานในฟาร์มหมู โดยมีอาการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ คันตา และหนาวสั่น แต่อาการเหล่านี้หายไปได้เอง โดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาใดๆ จึงไม่มีการคาดการณ์ว่า ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่จะเป็นอันตรายมากนัก จนกระทั่งล่าสุด เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู หรือที่มีการบัญญัติชื่อใหม่ว่า ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ลามไปทั่วโลก และมีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า โรคนี้สามารถแพร่กันระหว่างคนสู่คน เนื่องจากเชื้อโรคได้วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์แล้ว การติดต่อโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีการติดต่อเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ในคนทั่วไป และเชื้อจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยระยะฟักเชื้อของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้นอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน หากผู้ป่วยได้รับเชื้อมากระยะฟักตัวก็จะเร็ว ซึ่งทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยด้วยว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้เชื้อโรคจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วยการไอ หรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด รวมทั้งติดต่อกันทางลมหายใจ หากอยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ และสามารถติดต่อได้จากมือ หรือสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา ซึ่งสามารถแพ้เชื้อได้ ตั้งแต่ผู้ติดเชื้อยังไม่ปรากฎอาการ หรือหลังจากปรากฎอาการไข้แล้ว

ขณะที่นักวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุไว้ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่าโรคซาร์ส และไข้หวัดนก แต่อัตราการเสียชีวิตมีน้อยกว่า คืออยู่ที่ร้อยละ 5-7 ขณะที่โรคไข้หวัดนกมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 60
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

เมื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะปรากฎอาการที่คล้ายกับผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่าและรวดเร็วกว่า นั่นคือ มีไข้สูงราว 38 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ ปอดบวม เบื่่ออาหาร บางรายอาจท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน จากนั้นเชื้อจะแพร่เข้าสู่กระแสโลหิต จึงทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีการทรงตัวผิดปกติ เดินเอนไปเอนมาเหมือนคนเมาสุรา นอกจากนี้อาจสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกได้ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ระยะติดต่อ

ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ ห้าวันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้ นาน 10 วัน โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปอดอักเสบตามมา รวมถึงหัวใจวาย และอาจจะทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งโรคแทรกซ้อนนี้สามารถคร่าชีวิตได้ หากผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และติดยาเสพติด เป็นต้น
ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เมื่อไร

ผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ หรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่ต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้วพบว่าตัวเองมีไข้สูง 38.5 องศา มีไข้นานเกิน 7 วัน เจ็บหน้าอก ปวดท้อง อาเจียน มีจุดเลือดตามตัว ตาเหลือง เจ็บคอมาก มีเสมหะสีเขียวๆ เหลืองๆ ผิวสีม่วง หรือได้พยายามรักษาตัวเองแล้ว แต่ยังไม่หาย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย ด้วยวิธี PCR ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้สามารถหาเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ได้ภายใน 24 ชั่วโมง และควรเข้ารับการตรวจรักษาภายในห้องตรวจพิเศษ Negative Pressure เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อไวรัสต่อไปยังผู้อื่น
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

องค์การอนามัยโลก ระบุว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ยังไม่สามารถป้องกัน และรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ได้ แต่จากผลการทดสอบในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ คือ 1. "โอเซลทามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า ทามิฟลู) เป็นยาที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กอ่อนถึงผู้ใหญ่ มีตัวยาทั้งที่เป็นเม็ดและเป็นน้ำ แต่มีผลข้างเคียง ที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน นอกจากนั้นในเด็กอาจมีอาการปวดท้อง เลือดกำเดาออก ปัญหาเรื่องหู และโรคตาแดง 2."ซานามิเวียร์" (ชื่อทางการค้าว่า รีเลนซา) เป็นยาที่ใช้ได้เฉพาะในผู้ป่วยอายุมากกว่า 5 ปี และไม่แนะนำให้ใช้ในคนที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหืด หรือผู้ป่วยในสถานพยาบาล และผู้ที่มีอาการแพ้สารแลคโตส ตัวยามีลักษณะเป็นเบบชนิดพ่นเท่านั้น ผลข้างเคียงของยานี้คือ เพิ่มความเสี่ยงของอาการหายใจลำบาก ในเด็กวัยเล็กและวัยรุ่น อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากอาการชัก อาการสับสน ความประพฤติผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากไข้หวัดใหญ่ในระยะแรก ทั้งนี้ ยาทั้งสองชนิด สามารถป้องกันเชื้อไวรัสไม่ให้แตกตัว แต่ต้องรับยาภายใน 48 ชั่วโมง เพราะมีโอกาสที่เชื้อไวรัสจะกลายพันธุ์ได้อีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกกำลังเร่งผลิตวัคซีนเพื่อป้องกัน และรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้อยู่ ซึ่งยังคงต้องใช้เวลา อย่างน้อย 5-6 เดือน เพื่อให้ได้วัคซีนที่ใช้รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009

โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อจากคนสู่คน ซึ่งวิธีการป้องกันการติดต่อของโรคได้ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด และล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งผู้ที่ป่วยเป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโอกาสการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่จะเข้าไปผสมกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลในตัวผู้ป่วย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเชื้อใหม่ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดื้อยาเพิ่มขึ้น และแพร่ระบาดจากคนสู่คนมากขึ้นต่อไป

นอกจากนี้หากใครที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และมีไข้สูง ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที เพื่อจะได้เฝ้าระวังและรักษาได้ทัน
วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่

วัคซีนสำหรับรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ อาจไม่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้ แต่ก็ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นตามฤดูกาลได้ ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผสมกับไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ จนกลายพันธุ์เป็นพันธุ์ที่รุนแรงมากกว่าเดิม ทั้งนี้วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนชนิดฉีด และเป็นวัคซีนเชื้อตาย จำนวน 3 สายพันธุ์ คือ ชนิดเอ 2 สายพันธุ์ และชนิดบี 1 สายพันธุ์ ทุกปีจะมีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขึ้นมาใหม่ โดยองค์กรอนามัยโลกจะคาดเดาว่า ในปีนั้นจะมีเชื้อไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใดระบาด และแยกผลิตเป็นสองสูตร สำหรับประเทศในซีกโลกเหนือ และประเทศในซีกโลกใต้

วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่นี้ สามารถฉีดได้ในเด็ก ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 9 ปี หากไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนในปีแรก ให้ฉีด 2 เข็ม โดยห่างกัน 1 เดือน จากนั้นให้ฉีด 1 เข็ม ในแต่ละปี หากเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ให้ฉีดวัคซีนปีละครั้ง

โดยทั่วไปการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันโรคได้ร้อยละ 60-90 หรือหากเป็นขึ้นมา อาการของโรคก็จะไม่รุนแรงนัก ทั้งนี้หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว อาจมีอาการปวดบวมแดงเฉพาะที่ หรืออาจมีไข้หรือปวดเมื่อยตามตัว นาน 1-2 วัน

แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 จะมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อไม่มากนัก และผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะได้รับการรักษาจนหายแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเราก็ควรต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถเตรียมการป้องกัน และเฝ้าระวังได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ดีที่สุด ก็คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และล้างมือบ่อยๆ เพื่อกำจัดเชื้อโรคออกไปนั่นเอง

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์" หรือ "iPad


สตีฟ จอบส์ เปิดตัว "แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์" หรือ "iPad"กลางดึกที่ผ่านมา ราคาไม่โหด เริ่มต้น 499 ดอลลาร์ ขายครั้งแรกเดือนมีนาคมที่สหรัฐฯ ส่วนประเทศอื่นรอหน้าร้อนนี้ได้สัมผัสแน่...


โฉมหน้า iPad จาก Apple Inc.สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 27 ม.ค. ว่า การตั้งตารอคอยของสิงห์ไอทีมาถึงในที่สุด เมื่อ สตีฟ จอบส์ ผู้บริหารระดับสูงของ แอปเปิล อิงค์ (Apple Inc.) แถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์" หรือ "iPad" เป็นที่เรียบร้อยที่ศูนย์ศิลปะ 'Yerba Buena Center' ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย สำหรับคุณสมบัติของ iPad เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่าง iPhone กับ MacBook เป็นอุปกรณ์มัลติมีเดีย ที่สามารถเป็นได้ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ อัลบั้มภาพถ่าย วิดีโอ เพลง การพิมพ์ข้อมูล วิดีโอเกมส์ รวมถึงสามารถใช้ร่วมกับแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ของ iPhone ได้ ทั้งนี้ iPad มาพร้อมหน้าจอสัมผัส LED-backlit ขนาด 9.7 นิ้ว โปรเซสเซอร์ 1 GHz ความละเอียด 1024x768 หน่วยความจำตั้งแต่ 16 , 32 และ 64 GB แบตเตอรี่ Lithium Ion สามารถใช้งานติดต่อได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง ขนาดโดยรวม 9.56 x7.47x0.5 นิ้ว หนักราว 1.5 ปอนด์ (0.68 กิโลกรัม)สตีฟ จอบส์ เผยราคา ไม่แพงเกินคาดนอกจากนี้ยังใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกับ iPhone OS มีอุปกรณ์เสริมทั้งคีย์บอร์ด , ฐานตั้ง , SD Card reader และอุปกรณ์เชื่อมต่อ USB เพื่อโอนถ่ายรูปภาพ สำหรับราคา เริ่มต้นตั้งแต่ 499 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 16,489 บาท)ในรุ่น iPad WiFi ความจำ16 GB และสูงสุดอยู่ที่ 829 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 27,394 บาท)ในรุ่น iPad WiFi + 3G ความจำ 64 GBอุปกรณ์เสริม ของ iPad คีย์บอร์ด และ ฐานตั้งทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่จากค่าย Apple Inc. จะวางขายครั้งแรกในเดือนมีนาคม ที่สหรัฐอเมริกา สำหรับรุ่น WiFi เท่านั้น และมีกำหนดปล่อยตัวรุ่น WiFi + 3G ช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ สำหรับราคาที่วางขายในตลาดประเทศอื่น สตีฟ จอบส์ ยังไม่เปิดเผยขณะนี้ แต่จะประกาศภายในช่วงฤดูร้อนปี 2553 แน่นอนแขกผู้ร่วมงานทดลองใช้ iPad
สื่อมวลชนได้สัมผัส iPad กันถ้วนหน้า

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553


ไอแอลโอเผยเมื่อปี2551ชาวโลกตกงานเพิ่มถึง27ล้านคน เตรียมผุด"ข้อตกลงเรื่องงานในระดับโลก" เพื่อส่งเสริมการจ้างงานทั่วโลก ขณะที่ปีนี้คาดว่าอาจมีผู้ตกงาน-ไม่สามารถหางานได้อีก3ล้านคน ...สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ว่า รายงานหนา 82 หน้า ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) แห่งสหประชาชาติ เผยแพร่ในวันเปิดประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม) ประจำปี ท่ีเมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า เมื่อปี 2552 ท่ีผ่านมา มีคนตกงานเพิ่มถึง 27 ล้านคนทั่วโลก โดย 12 ล้านคนอยู่ในอเมริกาเหนือ ญี่ปุ่น และยุโรปตะวันตก ส่วนในยุโรปตะวันออก และลาตินอเมริกา มีผู้ตกงานเพิ่มเกือบ 4 ล้านคน ขณะท่ีอัตราการว่างงานในเอเชีย แอฟริกาและตะวันอกกลางทรงตัวมากกว่าภูมิภาคอื่น ไอแอลโอระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นต้องมี "ข้อตกลงเรื่องงานในระดับโลก" เพื่อส่งเสริมการจ้างงานทั่วโลก นายฮวน โซมาเวีย ผู้อำนวยการไอแอลโอกล่าวว่า การหลีกเลี่ยงภาวะหวนคืนของการตกงานเป็นความสำคัญทางการเมืองอันดับต้นๆ ในยุคนี้ จำเป็นต้องมีนโยบายท่ีเด็ดขาดเหมือนกับการกอบกู้ธนาคารเพื่อรักษาและสร้างงาน รวมทั้งการดำรงชีวิตของผู้คนไอแอลโอยังคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะยังสูงในปี 2553 และในประเทศร่ำรวย บางทีอาจมีผู้ตกงานหรือไม่สามารถหางานได้เมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น อีก 3 ล้านคน และใน 2 ปีหลัง อัตราการว่างงานในคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นถึง10% รุนแรงท่ีสุดตั้งแต่ไอแอลโอเริ่มรวบรวมสถิติในปี 2534 เพื่อแก้ปัญหานี้ ไอแอลโอต้องการให้รัฐบาลชาติต่างๆ ใช้ 2 มาตรการร่วม ทั้งสร้างงานและทำให้ผลประโยชน์ของผู้ตกงานดีขึ้น ขณะท่ีอัตราการว่างงานทั่วโลกเมื่อปีท่ีแล้วอยู่ท่ี 6.6% แต่ขอบเขตของปัญหาร้ายแรงกว่านั้นมาก เพราะแรงงานกว่า 600 ล้านคนและครอบครัวดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ไม่ถึง 1.25 ดอลลาร์ต่อวัน และอีก 200 ล้านคนดำรงชีพอยู่เหนือเส้นความยากจนระหว่างประเทศแค่ฉิวเฉียด.

ผบ.ร.2รอ. นำปจว. ป้อง "อนุพงษ์"


ผบ.ร.2รอ. รวมพลังมวลชนข้าราชการของหน่วย-นขต.จำนวน 1,000 คน ออกแถลงการณ์ต่อต้านการกระทำของบุคคลบางกลุ่มใช้ข้าราชการทหาร จาบจ้วงสถาบันทหาร ทำการดูหมิ่นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงที่ กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.2รอ.) ค่ายจักรพงษ์ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อ.เมืองปราจีนบุรี เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 27 ม.ค.พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จัดกิจกรรมรวมพลังมวลชนข้าราชการของหน่วยและหน่วยขึ้นตรงจำนวน 1,000 คน ออกแถลงการณ์ต่อต้านการกระทำของบุคคลบางกลุ่มใช้ข้าราชการทหารมาจาบจ้วงสถาบันทหาร ทำการดูหมิ่นผู้บังคับบัญชาชั้นสูง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์​โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากระบบทหารถือเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงเสื่อมเสียสถาบันทหาร จากนั้นได้ร่วมกล่าวปฏิญาณตนเป็นทหารของชาติมอบหนังสือให้กำลังใจผู้บังคับบัญชา พร้อมร่วมกันร้องเพลง "ไทยสามัคคี"เพื่อเป็นการปลุกใจและแสดงออกถึงความสามัคคีของชนในชาติสำหรับ พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา มีชื่อเล่นว่า "ตู่" เป็นนายทหาร จปร.รุ่นที่ 31 สมรสกับนางกนกวรรณ ศรีนาคา หรือ "อ้อ" เคยดำรงตำแหน่ง ประจำมณฑลทหารบกที่ 12 ก่อน ดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2550

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

::: เสธ. แดงแฉแหลก อนุพงษฺ สะสมวาสลีน :::


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลนายทหารคนดังชี้ เรื่องปกติ นักรบมี "ปืน-ระเบิด" เป็นของที่ระลึก อัดยับ ผบ.ทบ. ลืมตัวจำเพื่อนไม่ได้ ด้าน ผบ.ม.พัน 4รอ. ยันไม่ได้ส่ง สห.บุกล็อกตัว "เสธ.แดง" ...เมื่อวันที่ 25 ม.ค. พ.ท.ชิน สรณ์ เรืองศุข ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ ( ผบ.ม.พัน 4 รอ.) กล่าวกรณีมีรายงานว่า มีสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.)ไปควบคุมตัว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ภายในบ้านพัก ม.พัน 4 รอ. ว่า ยืนยันว่า ไม่มี สห.ทบ. ไปล็อกตัว หรือ จับตัว พล.ต.ขัตติยะ ตามที่เป็นข่าว เพราะไม่มีหมายจับ และ สห.ทบ.ไม่มีอำนาจไปจับกุม พล.ต.ขัตติยะ ได้ ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจาก ตนเห็นนักข่าวเข้ามาสัมภาษณ์ พล.ต.ขัตติยะ จึงเข้าไปดูความเรียบร้อยเท่านั้น ยืนยันว่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้นด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า ช่วงบ่ายของวันที่ 25 ม.ค. ตนได้ไล่ตะเพิด สห.ทบ. ประมาณ20 นายที่ถูกส่งมาฝังตัวใน ม.พัน.4 รอ. เพราะทหารกลุ่มนี้ทำทีจะมาบอกให้ตัวเองงดให้สัมภาษณ์บริเวณด้านหน้าค่ายทหาร ตนจึงได้ขยับไปสัมภาษณ์ด้านหน้ากรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) จากนั้นมี สห.ทบ.เดินตามตนมา ตนจึงไล่ สห.ทบ.เหล่านั้น ทำให้สห.ทบ. กลุ่มนี้พากันวิ่งหนีกระเจิงเข้าไปใน ม.พัน 4รอ.ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวต่อว่า ตนบอก ผบ.ม.พัน 4 รอ. ที่มาสังเกตการณ์ว่า เป็นทหารต้องรู้จักทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่ทำแต่สนองการเมือง แต่ ผบ.ม.พัน 4 รอ. ก็ทำตามหน้าที่ ซึ่งทราบกันดีว่า เป็นเด็ก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างไรก็ตาม ผบ.ม.พัน 4 รอ. ก็ไม่ได้มาทำอะไร ไม่ได้มารวบตัว มาดูแล เท่านั้น ส่วน สห.ทบ. ก็ทำไปตามหน้าที่ ไม่รู้เรื่อง วันๆ มีหน้าที่รับแขก แจกของ ร้องเพลง มาดูความเรียบร้อยเท่านั้นไม่ได้มาล็อกตัวแต่อย่างใด พล.ต.ขัตติยะ กล่าวต่อกรณี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ปฏิเสธว่า ไม่เคยเป็นเพื่อนพล.ต.ขัตติยะ ว่า เป็นเรื่องปกติเพราะเป็นคนลืมตัว จำเพื่อนไม่ได้ เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนกวดวิชาอโณชายืนยันได้ว่า ตนและ พล.อ.อนุพงษ์ เรียนรุ่นเดียวกันหรือไม่ แต่ พล.อ.อนุพงษ์ สอบติดโรงเรียนเตรียมทหารก่อนตนหนึ่งรุ่น นอกจากนี้ ในช่วงรับราชการ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ม.พัน 30 รอ. ขึ้นตรงกับ พล.ร.2 รอ. ก็เคยเจอ พล.อ.อนุพงษ์ ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นผู้บังคับกองพัน ยังคุยพูดจาแบบกู-มึงกันเพราะเป็นเพื่อนกันผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวด้วยว่า ถึงวันนี้ทำเป็นจำไม่ได้ เป็นธรรมดาของพวกที่ลืมตัว และไม่เคยรู้จักชีวิต จิตใจ และ ความรู้สึกทหารแท้ๆ ไม่รู้ว่าทหารที่ไปรบมานั้น การมีปืน หรือ ระเบิด เป็นของที่ระลึกอยู่บ้าง เป็นเรื่องที่คนเป็นทหารก็รู้กันอยู่ มีแต่ทหารที่มีอำนาจบางคนเท่านั้นที่ไม่มีของพวกนี้ มีแต่ของสะสม เป็น วาสลีน และเครื่องดนตรี เพราะชอบแต่ตีกลอง เล่นดนตรี รบก็ไม่ไหว แถมตอนฝึกคนที่อยู่ ในกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) เขาจำกันได้ ใครที่โดนด่า เพราะหนีการฝึก ส่วนหมายเรียก ตนจะไปตามหมายเรียกของตำรวจในอีก 7 วันข้างหน้า และ ถ้าไม่พบว่า ตนเกี่ยวโยงกับการยิงกองทัพบกจะมีการฟ้องร้องคนที่มีคำสั่งให้ไปค้นบ้านของตน

องค์การอนามัยโลกต่อว่า ผู้วิจารณ์การแจ้งภาวะระบาดของไข้หวัด 2009 ว่า ทำเพื่อบริษัทยา โดยยืนยันว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และไม่เคยตกอยู่ใต้อิทธิพลของอุตสาหกรรมยา...สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 25 ม.ค.ว่า องค์การอนามัยโลกหรือ WHO แถลงต่อว่า ผู้ที่ออกมาวิจารณ์ว่าการประกาศภาวะการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของWHO เป็นการกุเรื่องขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบริษัทยาเท่านั้น ว่าเป็นการวิจารณ์ที่ไม่มีความรับผิดชอบWHO ยืนยันด้วยว่าการระบาดของไวรัสมรณะในแถบอเมริกาเหนือเมื่อเม.ย.ปีที่แล้ว ก่อนระบาดลามไปทั่วโลก มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับและว่าWHOไม่เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตยา อย่างไรก็ดี WHO ไม่ระบุว่าเป็นการแถลงตอบโต้ใครฝ่ายไหนเป็นกรณีพิเศษ กระนั้น เมื่อเร็วๆนี้ "สมัชชารัฐสภาแห่งสภายุโรป" กลุ่มตรวจสอบสิทธิมนุษยชนในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส ระบุชี้แนะให้มีการเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป(อียู) สอบสวนการประกาศภาวะการระบาดของไวรัสมรณะว่าทำขึ้นภายใต้อิทธิพลของคนกลุ่ม ไหนหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ของอียูและWHO จะหารือกันเรื่องดังกล่าวในวันอังคาร

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

สาทิตย์ยัน ปชป. ไม่มียื้อต่อการแก้ รัฐธรรมนูญ 26 มค. แก้จุดยืน


นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย"สาทิตย์" โยน กก.บห.ปชป.ฟันธง แก้ รธน. ระบุ ส.ส.มากจึงสรุปช้า เชื่อประเด็นรัฐธรรมนูญ ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล ...เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุมพรรคเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นหนึ่งที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจตกลงกันไว้กับพรรคร่วมก่อนตั้งรัฐบาล จึงมีมติให้กรรมการบริหารพรรคมีส่วนในการตัดสินใจ ซึ่งการที่ความเห็นไม่ตรงกันถือเป็นเรื่องปกติของทุกพรรค ถ้าพรรคใดที่เห็นแค่หนึ่งเดียวแล้วเจ้าของพรรคเป็นผู้ทุบโต๊ะสรุป พรรคนั้นก็เป็นเผด็จการไม่เป็นประชาธิปไตย แต่พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นประชาธิปไตยจึงต้องฟังเสียงของสมาชิกนายสาทิตย์ ยังมั่นใจว่าในการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 26 ม.ค. จะได้ข้อยุติ ส่วนจะหยิบยกการวิเคราะห์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรค ที่ระบุว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เลือกแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกลับมาเลือกแบบเขตใหญ่ให้เตรียมยุบสภาได้เลย หารือในที่ประชุมหรือไม่นั้น การวิเคราะห์การเมืองถือเป็นการวิเคราะห์ท่าทีเดินเกมของกลุ่มคนเสื้อแดง และสถานการณ์ของประเทศ ต้องแยกให้ออกจากเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เชื่อว่า ส.ส.ไม่กังวลประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นการวิเคราะห์การเมืองบนพื้นฐานของข้อมูล แต่ที่กังวลคือการเคลื่อนไหวที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสถาบันมากกว่าเมื่อถามว่า มองอย่างไรกับการที่พรรคร่วมพยายามกดดันให้แก้รัฐธรรมนูญ นายสาทิตย์ กล่าวว่า คิดว่าแต่ละพรรคต้องมีจุดยืนของตัวเอง และก่อนที่จะออกมาเคลื่อนไหวเขาคงต้องคุยกันในพรรคของเขาเรียบร้อยแล้ว แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่สามารถสรุปความชัดเจนได้เพราะมีจำนวน ส .ส.มากกว่า 170 คนจึงต้องใช้เวลาพูดคุยกัน เมื่อถามว่าคิดว่าพรรคร่วมจะยอมรับมติของพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนไปตอบแทนคงไม่ได้ แต่คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลคงเข้าใจจุดยืนของแต่ละพรรคเช่นเดียวกัน เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรับข้อเสนอของพรรคการเมืองใหม่และกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์กล่าวแสดงจุดยืนเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไปพิจารณาหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องรับฟังความเห็นของประชาชนและนำไปพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตนเห็นว่าสังคมมองควบคู่ไปการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งหลายคนเกรงว่าการแก้รัฐธรรมนูญหากคนในสังคมไม่เห็นพ้องตรงกันอาจนำไปความขัดแย้งได้ "ความเห็นในสังคมนั้นมีหลากหลาย แต่เมื่อถึงขั้นตอนกระบวนการ ฝ่ายค้านประกาศไม่เข้าร่วม พรรคร่วมจึงเสนอขึ้นมา 2 ประเด็น ขณะที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่ต้องการให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นชนวนที่นำไปสู่ ความขัดแย้ง จึงต้องความเห็นอย่างกว้างขวาง" นายสาทิตย์ กล่าว เมื่อถามว่าแต่พรรคร่วมแสดงท่าที่ต้องการแก้ไขประเด็นเรื่องเขตเลือกตั้งอย่างชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์จะสรุปอย่างไร นายสาทิตย์ ต้องฟังจากหลายฝ่าย ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์พยายามยื้อเวลาการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ยืนยันว่าไม่มีเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องทำอย่างนั้น ตรงข้ามพรรคเพื่อไทยต่างหากที่มีท่าทีกลับไปมา เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมยอมรับผลการตัดสินใจในเรื่องนี้หรือไม่ หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า ผลที่เกิดจากการตัดสินใจทุกคนต้องรับผิดชอบ แต่คิดว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับการยุบสภา.

เครื่องโบอิ้ง เส้นทางเบรุต-แอดดิสอาบาบา หายไปจากเรดาห์

เครื่องโบอิ้ง บรรทุกผู้โดยสารและลูกเรือเกือบร้อยคน เส้นทางเบรุต-แอดดิสอาบาบา หายไปจากเรดาห์ โดยเชื่อกันว่าเครื่องน่าจะตกในประเทศเลบานอนสำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 25 ม.ค. สายการบินเอธิโอเปีย ซึ่งมีผู้โดยสารรวมลูกเรือ 92 ชีวิต หายไปจากหน้าจอเรดาร์ โดยคาดว่าสาเหตุเกิดจากเครื่องบินตกที่เขตเบรุต ประเทศเลบานอนหลังจาก ขึ้นบินได้ราวครึ่งชั่วโมงเครื่องโบอิ้งนี้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติ ราฟิค ฮารีรี ในเขตเบรุต โดยมีเส้นทางมุ่งหน้าสู่ แอดดิสอาบาบา เมืองหลวงของ ประเทศเอธิโอเปีย และเชื่อกันว่า ณ เวลาที่เครื่องบินหายไปจากหน้าจอนั้น เครื่องกำลังบินอยู่เหนือน้ำ.

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

16 มกราคม 2553 วันครู






เปรียบเรือจ้างอย่าน้อยใจจงได้คิด ไม่มีศิษย์ใครจะรู้ครูมีค่าไม่มีครูใครจะสร้างทางปัญญาศิษย์แจวหน้าครูแจวหลังสู่ฝั่งชัย



ครูมอบรัก ให้ศิษย์ ด้วยพันธ์ผูกศิษย์ดั่งลูก คอยปลูกฝัง ให้ตั้งหน้าให้พากเพียร เรียนรู้ ทุกวิชาให้ฟันฝ่า ก้าวไกล ไม่อับจน ครูเปรียบเหมือน เรือจ้าง ทางชีวิตคอยส่งศิษย์ ถึงฝั่ง ไม่หวังผลให้ความรู้ เป็นวิชา หาเลี้ยงตนยามมืดมน ยังมีครู ผู้ชี้ทาง


บัวสี่เหล่าต่างกอต่างก่อก้าน ทั้งบัวบานกลีบแย้มแซมกลิ่นหอมบัวจมโคลนต่อให้บานเนิ่นนานยอม แต่มวลผึ้งก็ยังตอม เพียงจอมบัวคนโง่เปรียบเหมือนบัวต่ำจมน้ำอยู่ ไม่มีครูชี้ทางย่อมสร้างชั่วครูอบรมถูกผิดอุทิศตัว ให้รู้ทั่ววิทยาคุณค่าคนถึงบัวมีไม่น้อยสักร้อยเหล่า ก็โง่เขลาขาดครูไม่รู้ผลสั่งสอนศิษย์ทั้งหมดอย่างอดทน ให้เริ่มต้นกระจ่างสว่างตาขอกราบกรานคารวะอภิวาท ผกามาศมาลัยไม้บุบผาอีกพานพุ่มวางคู่ขอบูชา ระลึกคุณกรุณา ข้าฯทั้งปวง....

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

EU เตรียมถกเรื่องความเป็นส่วนตัว



ปารีส 6 ม.ค. - สหภาพยุโรป (อียู) เรียกร้องให้หารือเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยด้านสุขภาพของการใช้เครื่องสแกนแบบเต็มตัว ก่อนตัดสินใจสนับสนุนให้ใช้อย่างกว้างขวาง
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของอียูเตรียมประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหารือเรื่องมาตรการตรวจเข้มฉุกเฉิน ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐจะหารือกับอียูในวันนี้ สเปนประกาศจะไม่ใช้เครื่องสแกนแบบเต็มตัวหากอียูยังไม่มีข้อตกลงเรื่องนี้ อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ เผยว่าจะใช้เยอรมนีและอิตาลีสนับสนุนให้เข้มงวดการตรวจ แต่อียูยืนยันต้องตรวจสอบเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยต่อสุขภาพเสียก่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนระบุว่ารังสีเอ็กซ์และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องสแกนแบบเต็มตัวมีความเสี่ยงน้อย


สายการบินปากีสถานอินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ เผยว่า ผู้โดยสารไม่ต่อต้านมาตรการตรวจเข้มผู้ที่จะเดินทางไปสหรัฐ และยังให้ความร่วมมือด้วยดี เพราะเห็นว่าทำไปเพื่อความปลอดภัย หลังจากปากีสถานเป็น 1 ใน 14 ประเทศเป้าหมายที่สหรัฐกำหนดว่าต้องตรวจผู้โดยสารเข้มงวดเป็นพิเศษ ด้านอะบาคัส บริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินชั้นนำ เผยว่ามาตรการใหม่อาจสร้างความไม่สะดวก แต่จะไม่กระทบต่อการเดินทางไปสหรัฐ พร้อมกับยกตัวอย่างว่ามาตรการเข้มงวดหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 ไม่ทำให้คนเดินทางไปสหรัฐลดลง ชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เดินทางไปสหรัฐบ่อยไม่คิดว่าการใช้เครื่องสแกนแบบเต็มตัว และเครื่องตรวจตามร่างกายจะช่วยป้องกันเหตุร้ายได้ เพราะเมื่อขึ้นไปบนเครื่องก็มีบริการมีดและส้อมโลหะที่ใช้เป็นอาวุธได้ ส่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของไทยเผยว่าเตรียมนำเครื่องสแกนเต็มตัวมาใช้เช่นกัน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสายการบินใดร้องเรียนเรื่องความไม่สะดวก อย่างไรก็ดี แต่ละวันมีผู้โดยสารจาก 14 ประเทศเป้าหมายน้อยมากจากจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการวันละ 150,000 คน.



* สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2010-01-06 11:01:11
http://www.mcot.net/inside-headline.php?nid=5466

"สัญญาณฟ้า" อุปราคา "ลางอันตราย" ปี 2553 เกิด 5 ครั้ง


เข้าสู่วันสุดท้ายของปีเก่า 2552 ก่อนจะก้าวผ่านสู่ปีใหม่ 2553 ในคืนรอยต่อข้ามปี...บนท้องฟ้าจะมีปรากฏการณ์ “อุปราคา” เกิดขึ้น และจากนั้นในรอบปี 2553 ก็จะมีอุปราคาอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 5 ครั้ง ซึ่งอุปราคานี้ก็มีทั้งแบบที่เรียกว่า “สุริยุปราคา-สุริยคราส” และ “จันทรุปราคา-จันทรคราส” “อุปราคา” ในด้านหนึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติแห่งดาว ขณะที่ทางด้านโหราศาสตร์ถือเป็น “สัญญาณฟ้าที่ไม่ดี” ทั้งนี้ กับอุปราคา หรือทางโหรเรียกว่า “พระเคราะห์บังกัน” ในปี 2553 ในด้านของการเป็นสัญญาณจากฟ้า-จากดวงดาว ทาง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ มีคำทำนาย ทายทัก ดังนี้..... อุปราคาครั้งที่ 1 คืนส่งท้ายปีเก่า เกิดเวลา 02.14 น. วันที่ 1 ม.ค. 2553 เป็น “จันทรุปราคาแบบบางส่วน” คำทำนายโดยสรุปคือ...ต้องระวังเกิดความยุ่งยากเรื่องผู้ใช้แรงงาน เกิดการประท้วง เกิดอาชญากรรมมาก เกิดโรคระบาดหนัก เกิดความยุ่งยากในวงการศาสนา การศึกษา กฎหมาย แพทย์ อุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย เกิดลมพายุรุนแรง หนาวจัด การเดินทางขนส่งติดต่อสื่อสารเกิดปัญหา เกิดอัคคี ภัยใหญ่ วงการบันเทิงมีปัญหา สตรีและเด็กถูกละเมิดสิทธิรุนแรง เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญ อบายมุขเฟื่องฟู เกิดปัญหาสังคมมาก


รัฐสภาจะตกต่ำถูกครอบงำโดยอิทธิพลและผลประโยชน์ มีปัญหายุ่งยากกับประเทศเพื่อนบ้านเพราะคนต่างถิ่นต่างแดน คนหมู่มากเกิดวิวาทะ มีความคิดเห็นรุนแรง พร้อม ๆ กับมีการใช้กำลังอาวุธ อุปราคาครั้งที่ 2 วันที่ 15 ม.ค. 2553 เวลา 14.12 น. เกิด “สุริยุปราคาแบบวงแหวน” คำทำนายโดยสรุปคือ... ต้องระวังด้านการต่างประเทศ ในบางกรณีเกิดความผันแปรครั้งสำคัญทางการเมือง ดินฟ้าอากาศแปรปรวน พืชผล-เศรษฐกิจการค้าเสียหาย อุปราคาครั้งนี้เกิดในราศีมังกร ธาตุดิน ระวังการพังทลายของดิน อาคารบ้านช่อง อาณาเขตมีปัญหา การช่วงชิงผลประโยชน์เยี่ยงโจรเกิดขึ้นมากมายตามโจโรฤกษ์ที่แนวอุปราคาปรากฏ รัฐบาลคะแนนนิยมตกต่ำเพราะปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชั่น สุขภาพประชาชน เกิดปัญหาระหว่างชนชั้นมากขึ้น มีการโจมตีใส่ร้ายบุคคลสำคัญ เกิดการสูญเสีย-การตายเพราะความแตกแยก ต้อง ระวังการสูญเสีย-การลอบสังหารบุคคลสำคัญ การปฏิวัติรัฐประหาร อาจมีให้เห็นอีก อุปราคาครั้งที่ 3 เกิด 26 มิ.ย. เวลา 18.32 น. เกิด “จันทรุปราคาแบบบางส่วน” ในราศีธนู ธาตุไฟ คำทำนายโดยสรุปคือ... เมื่อเกิดอุปราคาขึ้นในฤกษ์นี้จะทำให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะ ที่สังคมจะมีการเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ไม่เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและ กัน ไม่มีความเมตตาปรานี ขาดการประนีประนอม ต้องระวังเกิดความยุ่งยากเรื่องการชุมนุมประท้วงทางการเมือง แรงงาน เกิดคดีอาชญากรรมมากขึ้น เกิดพายุใหญ่ โรคภัยในคนและสัตว์ระบาดหนัก เกิดเชื้อโรคใหม่ วงการศาสนา ศึกษา แพทย์ กฎหมาย เกิดยุ่งยากสูญเสีย การเดินทางระวังเกิดอุบัติเหตุมาก ต้องระวังการเกิดไฟไหม้ครั้งสำคัญ เกิดเหตุการณ์สาธารณะ ที่ตื่นเต้น เกิดเหตุฆาตกรรมสำคัญ บางกรณีอาจเกิดการปะทะของกองกำลังต่าง ๆ และเกิดการตายของประชาชนและบุคคลสำคัญ อุปราคาครั้งที่ 4 เกิด 12 ก.ค. 2553 เวลา 02.42 น. เกิด “สุริยุปราคาเป็นสรรพคราส (มืดมิดดวง)” ในราศีมิถุน ธาตุลม คำทำนายโดยสรุปคือ... ต้องระวังเกิดลมพายุรุนแรง เกิดอุบัติเหตุ-ปัญหาทางการขนส่งคมนาคมการสื่อสาร รัฐสภาถูกครอบงำโดยอิทธิพล ผลประโยชน์ มีปัญหายุ่งยากเรื่องกฎหมาย พรรคการเมืองแตกแยก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผันแปร ผู้นำ-ผู้ปกครองเกิดอันตราย บุคคลมีชื่อเสียงป่วยหนักหรือถึงแก่กรรม รัฐบาลจะใช้มาตรการที่เฉียบ ขาดเพื่อให้เกิดความยำเกรง กองทัพกองกำลังจะเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด
ต้องระวังจะมีปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้น หรือเกิดอุบัติเหตุทำให้มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินครั้งสำคัญ มีอาชญา กรรมลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้น เกิดปัญหาลึกลับจากต่างด้าว อุปราคาครั้งที่ 5 เกิด 21 ธ.ค. 2553 เวลา 15.14 น. เกิด “จันทรุปราคาเป็นสรรพคราส (มืดมิดดวง)” ในราศีมิถุน ธาตุ ลม คำทำนายโดยสรุปคือ...ต้องระวังเกิดยุ่งยากเรื่องผู้ใช้แรงงาน เกิดอาชญากรรมมาก เกิดโรคระบาดหนัก มีความยุ่งยากในวงการศาสนา ศึกษา กฎหมาย แพทย์ เกิดอุบัติเหตุมาก เกิดลมพายุทำลายล้างรุนแรง เกิดวิวาทะรุนแรง การใช้กำลังอาวุธ วงการศาสนาเกิดการแตกแยก การคมนาคมขนส่งสื่อสารเกิดปัญหา วงการบันเทิง ศิลปิน มีปัญหา เกิดการสูญเสียบุคคลสำคัญในวงการ มีปัญหาระหว่างนายทุนกับผู้ใช้แรงงาน ธุรกิจขาดทุน งานบริการงานบันเทิงทรุดลง สุขภาพประชาชนถูกกระทบกระเทือน อบายมุขเฟื่องฟู ประชาชนจะลุ่มหลงในอบายมุขตามการโฆษณาชวนเชื่อ เกิดปัญหาสังคมขึ้นตามมามากมาย ที่ว่ามาก็เป็นคำพยากรณ์โดยสรุปเกี่ยวกับ “อุปราคา” ในปี 2553 ซึ่งทางโหรมีเกณฑ์ในการพยากรณ์ที่เป็นหลักการ แต่ด้วยพื้นที่จำกัดจึงไม่อาจแจกแจงได้หมด ทั้งนี้ ทาง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ ยังระบุไว้ด้วยว่า..... “การเกิดของอุปราคาแต่ละครั้งจะมีผลต่อคนไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมองเห็นในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม ?!?!?”.


ที่มา Daily New Only 6-01-2010

โอบามา ตำหนิความล้มเหลวด้านข่าวกรองอย่างรุนแรง


วอชิงตัน 6 ม.ค. - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงต่อความล้มเหลวด้านข่าวกรอง และว่า จะไม่อดทนต่อความผิดพลาดของหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐในการรวบรวมข้อมูลซึ่งจะนำไปสู่การเปิดโปงเหตุพยายามก่อวินาศกรรมบนเครื่องบินโดยสารสหรัฐเมื่อวันคริสต์มาสที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโอบามา แถลงเกี่ยวกับเหตุพยายามระเบิดเครื่องบินโดยสารของสหรัฐผ่านทางโทรทัศน์ และแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐ ภายหลังเรียกตัวบรรดาหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติเข้าพบที่นำเนียบขาวเมื่อวานนี้


ผู้นำสหรัฐ ระบุว่า มีความชัดเจนว่าหน่วยงานข่าวกรองไม่วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดเพียงพอ และว่า การไม่แจ้งเตือนภัยก่อนจะเกิดเหตุร้ายนั้นจะทำให้เกิดความหายนะ และร้ายแรงกว่าที่คาดไว้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้ และเขาจะไม่อดทนต่อเรื่องนี้ พร้อมประกาศว่า จะระงับการส่งนักโทษจากเรือนจำอ่าวกวนตานาโม ในคิวบา ไปยังเยเมน หลังมีข้อมูลว่า เครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในคาบสมุทรอาหรับเป็นผู้วางแผนเหตุระเบิดเครื่องบินเมื่อวันคริสต์มาส อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐรับปากจะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะปิดเรือนจำแห่งนี้

ขณะที่ทำเนียบขาวกำลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักให้รับผิดชอบต่อเหตุที่เกิดขึ้น นายโรเบิร์ต กิบบ์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐ (เอฟบีไอ) ได้สอบปากคำนายอูมาร์ ฟารุก อับดุลมูตัลลับ ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุชาวไนจีเรีย และได้ข้อมูลสำคัญที่จะนำมาใช้ได้

สำนักข่าวไทยอัพเดต เมื่อ 2010-01-06 09:26:07
http://news.mcot.net/international/inside.php?value=bmlkPTEzMzI2OCZudHlwZT10ZXh0



ครม.เห็นชอบแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. 2552–2559)



นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๓ ได้เห็นชอบแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. ๒๕๕๒–๒๕๕๙) และเห็นชอบในหลักการพัฒนากายภาพของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ โดยขอใช้งบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เห็นชอบแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. ๒๕๕๒–๒๕๕๙) ครม.เห็นชอบแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง (พ.ศ. ๒๕๕๒–๒๕๕๙) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในช่วงระยะเวลาดังกล่าวต่อไป ซึ่งสาระสำคัญของแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง มีดังนี้



ปรัชญาหลักและกรอบแนวคิด
การจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุงฯ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยึดทางสายกลางอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลพอดี รู้จักพอประมาณ อย่างมีเหตุผล มีความรอบรู้เท่าทันโลก เพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย เกิดการบูรณาการแบบองค์รวมที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมีดุลยภาพ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม เป็นแผนที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬากับการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งเชื่อมโยงการพัฒนาการศึกษากับการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยคำนึงถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต



เจตนารมณ์ของแผน
แผนการศึกษาแห่งชาติมีเจตนารมณ์เพื่อมุ่งพัฒนาชีวิตให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความเข้มแข็งและมีดุลยภาพใน 3 ด้าน คือ เป็นสังคมคุณภาพ สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ และสังคมสมานฉันท์และเอื้ออาทรต่อกัน


วัตถุประสงค์ของแผน
เพื่อให้บรรลุตามปรัชญาหลักและเจตนารมณ์ของแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุงฯ จึงกำหนดวัตถุประสงค์ของแผนที่สำคัญ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อพัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดุลเพื่อเป็นฐานหลักของการพัฒนา ๒) เพื่อสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญาและการเรียนรู้ ๓) เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาคน และสร้างสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญา และการเรียนรู้
แนวนโยบาย เป้าหมาย และกรอบการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทั้งสามประการดังกล่าว ประกอบกับการคำนึงถึงทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคตที่เน้นการใช้ความรู้เป็นฐานของการพัฒนา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประชากร สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงได้กำหนดแนวนโยบายในแต่ละวัตถุประสงค์ ดังนี้


วัตถุประสงค์ ๑ พัฒนาคนอย่างรอบด้าน และสมดุล เพื่อเป็นฐานหลักของการพัฒนาแนวนโยบาย


- พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ในทุกระดับและประเภทการศึกษา
- ปลูกฝังและเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม มีจิตสำนึกและมีความภูมิใจในความเป็นไทย มีระเบียบวินัย มีจิตสาธารณะ คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรังเกียจการทุจริต ต่อต้านการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
- เพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนทุกคนตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิตได้มีโอกาสเข้าถึงบริการการศึกษาและการเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ ยากจน อยู่ในท้องถิ่นห่างไกล ทุรกันดาร
- ผลิตและพัฒนากำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน และร่วมมือกับนานาประเทศ
- พัฒนามาตรฐานและระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ทั้งระบบประกันคุณภาพภายในและระบบการประกันคุณภาพภายนอก
- ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐาน มีคุณธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

วัตถุประสงค์ ๒ สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญาและการเรียนรู้แนวนโยบาย


- ส่งเสริมการจัดการศึกษา อบรม และเรียนรู้ของสถาบันศาสนา และสถาบันทางสังคม ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
- ส่งเสริมสนับสนุนเครือข่ายภูมิปัญญา และการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม พลศึกษา กีฬาเป็นวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพและตลอดชีวิต
- ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม และทรัพย์สินทางปัญญา พัฒนาระบบบริหารจัดการความรู้ และสร้างกลไกการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์

วัตถุประสงค์ ๓ พัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคม เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาคน และสร้างสังคมคุณธรรม ภูมิปัญญาและการเรียนรู้


- พัฒนาและนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพ เพิ่มโอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ โดยเร่งรัดกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาไปสู่สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ประชาชน ประชาสังคม และทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารจัดการศึกษา และสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา
- ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ และการลงทุนเพื่อการศึกษา ตลอดจนบริหารจัดการ และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่าประเทศด้านการศึกษา พัฒนาความเป็นสากลของการศึกษา เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ขณะเดียวกันสามารถอยู่ร่วมกันกับพลโลกอย่างสันติสุข มีการพึ่งพาอาศัยและเกื้อกูลกัน
การบริหารแผนสู่การปฏิบัติ
แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ให้ความสำคัญกับการนำแผนสู่การปฏิบัติ เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนข้อเสนอปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ที่เน้นเป้าหมาย ๓ ด้าน คือ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การขยายโอกาสทางการศึกษา และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริการและจัดการศึกษา ตลอดจนคำนึงถึงความสอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จึงเห็นควรกำหนดระยะเวลาดำเนินงานบริหารแผนสู่การปฏิบัติเป็น ๒ ระยะ ดังนี้



- ระยะที่ ๑ แผนงานรีบด่วน ระหว่างปี ๒๕๕๒–๒๕๕๔ ให้เร่งดำเนินการตามข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง โดยให้มีการจัดทำแผนเพื่อพัฒนาการศึกษาตามประเด็นเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา ได้แก่ แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนขยายโอกาสทางการศึกษา และแผนส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการบริหารและจัดการศึกษา รวมทั้งควรมีการสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนการศึกษาแห่งชาติ



- ระยะที่ ๒ ระหว่างปี ๒๕๕๒–๒๕๕๙ ให้เร่งดำเนินการตามนโยบายทั้ง ๑๔ ด้านให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนฯ เมื่อสิ้นสุดระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒ รวมทั้งการเตรียมการร่างแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ต่อไป
นอกจากนี้ ให้มีการจัดทำกรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงระยะเวลา ๕ ปี เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในภาพรวม และแผนพัฒนาการศึกษาแต่ละระดับ/ประเภทการศึกษา ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน แผนพัฒนา การอาชีวศึกษา แผนพัฒนาการอุดมศึกษา เป็นต้น



ส่วนในระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ให้มีการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และในระดับเขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา ให้มีการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา



ที่มา http://www.moe.go.th/websm/2010/jan/003.html


หิมะกลบอังกฤษ จ่อหนาวสุดรอบ 100 ปีศึกคาร์ลิ่ง แมนยู VS แมนซิตี้ เลื่อน!



เมื่อ 5 ม.ค. 53 เดลี่เมล์และเทเลกราฟรายงานว่า สภาพอากาศหนาวเย็นและหิมะที่ตกหนักในอังกฤษที่ส่อเค้าจะเป็นฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกที่สุดในรอบร้อยปี ทำให้การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยคาร์ลิ่งคัพรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 แมตช์ ต้องเลื่อนออกไป ทั้งดาร์บี้แมตช์ที่สองทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ต้องเจอกันเอง ที่สนามของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และนัดระหว่างทีมแบล๊กเบิร์นกับแอสตันวิลล่า ที่สนามอีวู้ดพาร์ก ของทีมกุหลาบไฟ โดยการพบกันนัดแรกของทั้งสองสายให้ไปแข่งวันที่ 19 ม.ค. ส่วนนัดที่สองให้แข่งวันที่ 27 ม.ค. 53

การเลื่อนแมตช์แข่งขันของคาร์ลิ่งคัพ ยังกระทบถึงตารางการแข่งขันของศึกพรีเมียร์ชิพของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะพบกับฮัลล์ ซิตี้ วันที่ 26 ม.ค. และนัดที่ทีมแมนซิตี้ที่จะพบกับสโต๊กวันที่ 27 ม.ค. ก็ต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย

สภาพอากาศฤดูหนาวของอังกฤษที่เริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม ทำให้ช่วงเวลาของความหนาวเย็นในประเทศ ยาวนานที่สุดนับจากปี 2524 เหล่านักพยากรณ์อากาศเตือนด้วยว่า สภาพอากาศหนาวจะดำเนินต่อไป รวมถึงในพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่พื้นที่ภาคเหนือและสกอตแลนด์ต่างเผชิญกับพายุหิมะที่ตกหนักร้ายแรงที่สุดอยู่ในตอนนี้ คลื่นความหนาวระลอกล่าสุดทำให้ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า จะทำให้อังกฤษหนาวที่สุดในรอบ 100 ปี


วันที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 02:11 น. ข่าวสดออนไลน์

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

อุกกาบาต (Meteor) ผวารอบใหม่รับปีใหม่ ดาวเคราะห์น้อย อะโพฟิส ชนโลก


อุกกาบาต คือ วัตถุขนาดเล็กในอวกาศที่ผ่านบรรยากาศลงมาถึงพื้นโลก ขณะอยู่ในอวกาศเรียกว่า "สะเก็ดดาว" ขณะเข้าสู่บรรยากาศเรียกว่า "ดาวตก". เราสามารถพบอุกกาบาตได้บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เช่น ดาวอังคาร อุกกาบาตประกอบไปด้วยธาตุคาร์บอน ปะปนอยู่ในอุกกาบาตบางชนิดเท่านั้น ซึ่งจะเป็นชนิดเหล็กและนิกเกิล


การศึกษาอุกกาบาตช่วยให้มนุษย์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของโลกดาวเคราะห์ดวงพิเศษสุดที่เราถือกำเนิดและอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ได้ดีขึ้นในบางคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส เราอาจเห็นแสงวูบวาบตกลงมาจากฟากฟ้าเรียกกันว่าดาวตกหรือผีพุ่งไต้แต่ความจริงดาวตกเป็นวัตถุแข็งจำพวกหินหรือเหล็กตกเข้าสู่เขตบรรยากาศโลกด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงแรงเสียดสีกับบรรยากาศทำให้ร้อนจัดหลอมตัวเป็นลูกไฟสว่างมีควันเป็นทางยาว หากวัตถุชิ้นเล็กจะลุกไหม้สว่างกลายเป็นไอสลายไป หมด แต่บางก้อนที่มีขนาดใหญ่จะมีเสียงดังคล้ายเสียงยิงปืนหรือเสียงฟ้าผ่าเมื่อวิ่งผ่านอากาศตกลงมา และหากสลายตัวไม่หมด มักเหลือซากตกลงถึงพื้นโลก เรียกว่า ลูกอุกกาบาต มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน ตั้งแต่น้ำหนักเพียงไม่กี่กรัมจนถึงก้อนหนึ่งหนักหลาย ๆ ตัน อุกกาบาตแบ่งตามลักษณะเนื้อในเป็น 3 แบบ คือ อุกกาบาต ชนิด หิน เหล็ก และ เหล็กปนหิน ส่วนใหญ่ ที่พบเป็นอุกกาบาต ชนิดหิน ก้อนใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ จีหลิง (Jiling) ตกที่อำเภอจีหลิง ประเทศจีน เมื่อ 8 มีนาคม 2519 หนักเกือบ 2,000 กิโลกรัม ส่วนอุกกาบาตชนิดเหล็ก ก้อนใหญ่สุดที่ค้นพบคือ โฮบา เวสท์ (Hoba West) ปริมาตรราว 9 ลูกบาศก์เมตร หนักประมาณ 66 ตันตกกลางป่า ในอัฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ อุกกาบาตชนิดหินส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนหินบนโลก และมักสลายตัวเพราะลมฟ้าอากาศ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเป็นลูกอุกกาบาต การวิเคราะห์ทำได้โดยตัดผิวอุกกาบาตให้เรียบ ขัดมันแล้วใช้กรดอย่างอ่อนกัด พบโครงสร้างรูปผลึกปรากฏเห็นชัดบนผิวเรียบนั้น ซึ่งเป็นลักษณะ เฉพาะตัวของอุกกาบาต


อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พุ่งชนโลกอย่างแรง ทำให้เกิดหลุมลึกบนพื้นโลกเรียกว่า เครเตอร์ หลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดบนโลก คือ หลุมแบริงเยอร์ ในรัฐอะริโซนา สหรัฐอเมริกา คาดว่า เกิดจากอุกกาบาตชนิดเหล็กหนักถึง 1 ล้านตัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร ตกกระแทก พื้นโลกเป็นหลุมมหึมา ปากหลุมกว้าง 1,200 เมตร ลึก 170 เมตร ความลึกเท่ากับตึกสูง 40 ชั้นทีเดียว หลุมแบริงเยอร์อายุประมาณ 22,000 ปีอุกกาบาตตกในประเทศไทย- ลูกอุกกาบาตนครปฐม ตกที่ตำบลดอนยายหอม เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2466 แตกเป็น 2ก้อนใหญ่ น้ำหนักรวม 32 กิโลกรัม เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน ตั้งแสดงอยู่ที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ - ลูกอุกกาบาตเชียงคาน ตกที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2524 เป็นอุกกาบาตชนิดเนื้อหิน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัตถุจากกระแสธารอุกกาบาต ที่เป็นซากเหลือจาก ดาวหางเทมเพล (Tempel ) ที่โลกโคจรตัดผ่านธารอุกกาบาตในช่วงนั้น เป็นประจำทุกปี จึงทำให้เกิดเป็น ฝนดาวตก หรือ ฝนอุกกาบาต ให้เห็นในระยะนั้น มีสมมุติฐานอธิบายกำเนิดของอุกกาบาต ว่าน่าจะมาจากแถบของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่าง วงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี หรืออาจ มาจากดาวหางที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะ นอกจากนั้นยังพบอุกกาบาตบางก้อนมีองค์ประกอบ เช่นเดียวกับหินจากดวงจันทร์และหินจาก ดาวอังคารด้วย อุกกาบาตเป็นวัตถุฟากฟ้าที่สำคัญยิ่งในทางดาราศาสตร์ เพราะนอกจากโลกของเราแล้ว อุกกาบาตเป็นสมาชิกในระบบ สุริยะที่ตกผ่านเข้ามาบนโลกให้มนุษย์ได้มีโอกาสจับต้อง และศึกษาค้นคว้าได้โดยตรง การตรวจสอบพบว่าลูกอุกกาบาตส่วนใหญ่ประกอบด้วยเหล็ก นิเกิล และแร่ธาตุที่ตรวจพบได้บนโลก จึงสรุปได้ว่าสมาชิก ของระบบสุริยะทั้งปวงประกอบขึ้นจากวัตถุชนิดเดียวกันและเมื่อสืบค้นถึงอายุของลูกอุกกาบาต โดยการตรวจสารกัมมันตรังสี พบว่าลูกอุกกาบาต มีอายุเก่าแก่พอ ๆ กับอายุของโลก
การศึกษาลูกอุกกาบาตจึงจะช่วยให้มนุษย์ได้สืบค้นถึงประวัติความเป็นมาของโลก ดาวเคราะห์ ดวงพิเศษสุดที่เราถือกำเนิดและอาศัยกันอยู่ทุกวันนี้ได้ดีขึ้น
ผวารอบใหม่รับปีใหม่ ดาวเคราะห์น้อย อะโพฟิส ชนโลก?? (เดลินิวส์) เข้าสู่ปีใหม่ 2553 นอกจากคำทำนายทายทักดวงดาวในทางโหราศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีแล้ว กับเรื่องดวงดาวในทางดาราศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ก็มีรายงานในทางไม่ดีอีกครั้งเช่นกัน โดยเป็นเรื่องของ "ดาวเคราะห์น้อย" ที่ชื่อว่า "อะโพฟิส (99942 Apophis)" เกี่ยวกับการจะ "เฉี่ยวโลก-ชนโลก ??" เดิมมีรายงานว่าอะโพฟิสจะแค่เฉี่ยวใกล้โลกมาก แต่ล่าสุดมีรายงานชิ้นใหม่ว่ามีโอกาสชนโลก ??? ทั้งนี้เรื่องของดาวเคราะห์น้อยหรือแอสเตอรอยด์ที่ชื่อ "อะโพฟิส" นั้นมิใช่เรื่องใหม่ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่มันอาจคุกคามโลกมานานแล้ว และย้อนไปเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว "สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์" ก็เคยนำเสนอเกี่ยวกับมัน โดยข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย ในบทความของ วรเชษฐ์ บุญปลอด ระบุว่าอะโพฟิสถูกพบครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย. ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกว่า 2004 เอ็มเอ็น 4 (2004 MN4) และก็มีการคำนวณเรื่อยมา ประเด็นโดยสรุปที่เคยมีรายงานข่าวจากต่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้อง ก็เช่น... มีการคำนวณเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ว่าในวันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2572 หรือ ค.ศ. 2029 ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะโคจรผ่านเฉียดใกล้โลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตร แต่ต่อมามีการสรุปใหม่ว่าอะโพฟิสจะเฉียดโลกด้วยระยะห่าง เพียง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า ใกล้กว่าดาวเทียมค้างฟ้า และก็มีการพูดถึงประเด็น "อะโพฟิสอาจชนโลก ??" นอกจากนี้ ยังมีการระบุอีกว่า...แม้อะโพฟิสจะไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 แต่เมื่อมันเข้าใกล้โลกมาก ๆ แล้ว แรงโน้มถ่วงของโลกจะเบนวงโคจร ซึ่งจะส่งผลให้การคาดหมายวงโคจรในอนาคตแม่นยำน้อยลง จากนั้นก็มีผลการคำนวณออกมาอีกว่า... วันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2579 ซึ่งก็ตรงกับวันสงกรานต์ของไทยเช่นเดียวกับครั้งแรก อะโพฟิสที่หากไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 จะโคจรย้อนมาทางโลกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2579 นี้ และ "อะโพฟิสมีโอกาสชนโลก ??" ในรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดต้นปีนี้มีรายงานที่ไม่มีการยืนยัน ว่าถ้าไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 ก็อาจชนในปี พ.ศ. 2575 ไม่ถึงปี พ.ศ. 2579 แม้เรื่องการชนโลกของดาวเคราะห์น้อย "อะโพฟิส" จะยังไม่เคยมีการยืนยันชัดเจน 100% จากนักดาราศาสตร์-นักวิทยาศาสตร์สาขาที่เกี่ยวข้องมาก่อน เช่นเดียวกับกรณีจะโคจรวนกลับมาชนในปี พ.ศ. 2575 อย่างไรก็ตามพลันที่ทางรัสเซียมีการเคลื่อนไหวดำเนินการเกี่ยวกับอะโพฟิส ก็ทำให้อะโพฟิสเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง "อะโพฟิสอาจชนโลก ??" เขย่าขวัญชาวโลกอีกครั้ง ช่วงส่งท้ายสิ้นปี พ.ศ. 2552 ต่อเนื่องถึงต้นปี พ.ศ. 2553 มีรายงานข่าวว่า ในขณะที่ทาง องค์กรการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือนาซา ยังแค่เฝ้าติดตามจับตาอะโพฟิส ทาง สำนักงานอวกาศรัสเซีย ได้ตัดสินใจจะพิจารณา "ส่งยานอวกาศไปยังดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส" ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 350 เมตร (ข้อมูลบางแหล่งก็ว่า 250-270 เมตร บางแหล่งก็ว่า 300 เมตร) ซึ่งคาดว่าจะโคจรผ่านใกล้โลก หรืออาจชนปะทะทำความเสียหายร้ายแรงให้โลก โดยการจะส่งยานอวกาศของรัสเซียครั้งนี้ภารกิจคือ "ชนปะทะให้อะโพฟิสหลุดจากเส้นทางโคจร ป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจพุ่งชนโลก !!" ฟังดูเหมือนหนังอวกาศ...แต่อะโพฟิสมันมีอยู่จริง !!! ทั้งนี้แม้จะมีรายงานข่าวว่าทางองค์การนาซาระบุว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อะโพฟิสจะชนโลกในปี พ.ศ. 2572 และการโคจรกลับมาในรอบต่อ ๆ ไป ทั้งในปี พ.ศ. 2579 และรวมถึงปี พ.ศ. 2611 ทางนาซาก็แสดงท่าทีปฏิเสธที่จะระบุเรื่องโอกาสชนโลกอีก แต่กระนั้นเรื่องการชนโลกของอะโพฟิสก็ยังอยู่ในความสนใจอย่างหวาด ๆ ในทุกมุมโลก เพราะขนาดของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ ไม่ว่าจะเส้นผ่าศูนย์กลาง 270 จะ 300 หรือ 350 เมตร ยังไงก็ถือว่าไม่ใช่เล็ก ๆ "ไม่ใช่อุกกาบาตจิ๊บจ๊อย" ซึ่งหากจะว่ากันที่ตัวเลขกลาง ๆ คือเส้นผ่าศูนย์กลางราว 300 เมตร ถ้าเป็นตัวเลขนี้ทาง สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ เคยคำนวณน้ำหนักของอะโพฟิสไว้ว่า...อยู่ที่ประมาณ 45 ล้านตัน !! "จะสร้างหายนะกับโลกขนาดไหนขึ้นอยู่กับบริเวณที่พุ่งชน ถ้าชนพื้นโลกจะเกิดแอ่งกว้างราว 6 กิโลเมตร ถ้าชนในทะเลก็อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 3-22 เมตร และจะทำลายชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด" ...เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์ในการประชุมขององค์การนาซาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนหน้านี้ เป็นการระบุถึง "อะโพฟิส" ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็บอกว่า...ถ้าคิดจะใช้ "ระเบิดนิวเคลียร์" ผลักให้มันหลุดออกจากวงโคจรเหมือนในหนังเรื่อง "อาร์มาเก็ดดอน" ถึงเอานิวเคลียร์ไประเบิดได้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อโลก เพราะจะทำให้อะโพฟิสแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นสะเก็ดดาวใหญ่ที่อาจมีถึง 5 สะเก็ด และมีโอกาสพุ่งสู่โลก และถ้าใครไม่อยากเชื่อฝรั่ง อยากฟังนักวิทยาศาสตร์ไทย อยากถามว่า "ทำไมต้องกลัวดาวเคราะห์น้อยชนโลก ??" ทาง รศ.ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล ก็เคยบอกผ่าน "สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์" เอา ไว้ว่า... "ถ้าพุ่งชนโลก ความรุนแรงก็จะไม่ต่างกับระเบิดนิวเคลียร์ที่มีแรงทำลายล้างมหาศาล ยิ่งถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กิโล เมตรขึ้นไป จะถึงกับล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้ !!!"

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)


ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases)


ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect)

แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี

ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน

ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง


สาเหตุ

ภาวะโลกร้อนเป็นภัยพิบัติที่มาถึง โดยที่เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของการเกิดเป็นอย่างดี นั่นคือ การที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอซซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง การแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ อุทกภัย ปะการังเปลี่ยนสีและการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ประเทศตามแนวชายฝั่ง ประเทศที่เป็นเกาะ และภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างเอเชียอาคเนย์

จากการทำงานของคณะกรรมการของรัฐบาลนานาชาติ ว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีองค์การวิทยาศาสตร์ ได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ เฝ้าสังเกตผลกระทบต่างๆ และได้พบหลักฐานใหม่ที่แน่ชัดว่า จากการที่ภาวะโลกร้อนขึ้นในช่วง 50 กว่าปีมานี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นในทุกหนทุกแห่ง ประมาณ 1.4-5.8 องศาเซลเซียส

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่ ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง วาตภัย อุทกภัย พายุฝนฟ้าคะนอง พายุทอร์นาโด แผ่นดินถล่ม และการเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน จากภาวะอันตรายเหล่านี้พบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่เสี่ยงกับการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งได้รับผลกระทบมากกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่และช่วยเหลือเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า การที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เป็นเหตุให้ปริมาณผลผลิตเพื่อการบริโภคโดยรวมลดลง ซึ่งทำให้จำนวนผู้อดอยากหิวโหยเพิ่มขึ้นอีก 60-350 ล้านคน

ในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ มีโครงการพลังงานต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น และการดำเนินงานของโครงการเหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์วิทยาอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล และปริมาณน้ำฝนที่ตกในแต่ละช่วงได้เปลี่ยนแปลงไป การบุกรุกและทำลายป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ การสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลและอุณหภูมิของน้ำทะเล ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศน์วิทยาตามแนวชายฝั่ง และจากการที่อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนสีของน้ำทะเล ดังนั้น แนวปะการังต่างๆ จึงได้รับผลกระทบและถูกทำลายเช่นกัน

ประเทศไทยเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีชายฝั่งทะเล ที่มีความยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร และเป็นแหล่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และความไม่แน่นอนของฤดูการที่ส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรกรรม มีการคาดการณ์ว่า หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอีกอย่างน้อย 1 เมตรภายในทศวรรษหน้า หาดทรายและพื้นที่ชายฝั่งในประเทศไทยจะลดน้อยลง สถานที่ตากอากาศชายทะเล รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น พัทยา และ ระยองจะได้รับผลกระทบโดยตรง แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากผลกระทบของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นนี้เช่นกัน

ปัญหาด้านสุขภาพ ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนี้ด้วย เนื่องจากอุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของยุ่งมากขึ้น ซึ่งนำมาสู่การแพร่ระบาดของไข้มาเลเรียและไข้ส่า นอกจากนี้โรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น อหิวาห์ตกโรค ซึ่งจัดว่าเป็นโรคที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วโรคหนึ่งในภูมิภาคนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้น คนยากจนเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงนี้ ประกอบกับการให้ความรู้ในด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่ดี ยังมีไม่เพียงพอ

ปัจจุบันนี้สัญญาณเบื้องต้นของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัด ดังนั้น สมควรหรือไม่ที่จะรอจนกว่าจะค้นพบข้อมูลมากขึ้น หรือ มีความรู้ในการแก้ไขมากขึ้น ซึ่ง ณ เวลานั้นก็อาจสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขได้


กลไกของสภาวะโลกร้อน

ในสภาวะปกติ โลกเราจะได้รับพลังงานประมาณ 99.95 % จากดวงอาทิตย์ ในรูปแบบของการแผ่รังสี พลังงานที่เหลือมาจากความร้อนใต้ภิพซึ่งหลงเหลือจากการก่อตัวของโลกจากฝุ่นธุลีในอวกาศ และการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีที่มีอยู่ในโลก

ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาโลกเราสามารถรักษาสมดุลย์ของพลังงานที่ได้รับอย่างดีเยี่ยม โดยมีการสะท้อนความร้อนและการแผ่รังสีจากโลกจนพลังงานสุทธิที่ได้รับในแต่ละวันเท่ากับศูนย์ ทำให้โลกมีสภาพอากาศเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตหลากหลาย

กลไกหนึ่งที่ทำให้โลกเรารักษาพลังงานความร้อนไว้ได้ คือ "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (greenhouse effect) โดยโลกจะมีชั้นบาง ๆ ของแก๊สกลุ่มหนึ่งเรียกว่า "แก๊สเรือนกระจก" (greenhouse gas) ที่ทำหน้าที่ดักและสะท้อนความร้อนที่โลกแผ่กลับออกไปในอวกาศให้กลับเข้าไปในโลกอีก หากไม่มีแก๊สกลุ่มนี้ โลกจะไม่สามารถเก็บพลังงานไว้ได้ และจะมีอุณหภูมิแปรปรวนในแต่ละวัน แก๊สกลุ่มนี้จึงทำหน้าที่เสมือนผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมโลกที่หนาวเย็น

การณ์กลับกลายเป็นว่าในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา โลกเราได้มีการสะสมแก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศมากขึ้น เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ขุดขึ้นมาจากใต้ดิน การเพิ่มขึ้นของแก๊สเรือนกระจกทำให้โลกไม่สามารถแผ่ความร้อนออกไปได้อย่างที่เคย ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสมือนกับโลกเรามีผ้าห่มที่หนาขึ้นนั่นเอง


ปรากฏการณ์เรือนกระจกคืออะไร?

"ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (greenhouse effect) คือ ปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ์ในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรทที่สะท้อนกลับถูกดูดกลืนโดยโมเลกุลของ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) และ CFCsไนตรัสออกไซด์ (N2O)ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเหล่านี้มีพลังงานสูงขึ้นมีการถ่ายเทพลังงานซึ่งกันและกันทำให้อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นการถ่ายเทพลังงานและความยาวคลื่นของโมเลกุลเหล่านี้ต่อๆกันไป ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเกิดการสั่นการเคลื่อนไหว ตลอดเวลาและมาชนถูกผิวหนังของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน

เรือนกระจก

ในประเทศในเขตหนาวมีการเพาะปลูกพืชโดยอาศัยการควบคุมอุณหภูมิความร้อนโดยใช้หลักการที่พลังงาน ความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่องผ่านกระจก แต่ความร้อนที่อยู่ภายในเรือนกระจกไม่สามารถสะท้อนกลับออกมาทำให้อุณหภุมิภายในสูงขึ้นเหมาะแก่การเพาะปลูกของพืช จึงมีการเปรียบเทียบปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นนี้ว่าภาวะ เรือนกระจก(greenhouse effect)

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นก๊าซที่สะสมพลังงานความร้อนในบรรยากาศโลกไว้มากที่สุดและมีผลทำให้ อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นมากที่สุดในบรรดาก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่นๆ CO2ส่วนมากเกิดจากการกระทำของมนุษย์เช่น

- การเผาไหม้เชื้อเพลิง

- การผลิตซีเมนต์

- การเผาไม้ทำลายป่า

ก๊าซที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก

• คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เกิดจากการเผาไหม้ต่าง ๆ

• มีเทน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวของอินทรีย์วัตถุ เช่น ขยะมูลฝอยที่ย่อยสลายได้ ของเสีย อุจจาระ

• CFC เป็นสารประกอบสำหรับทำความเย็น พบในเครื่องทำความเย็นต่างๆ เป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกับฟรีออน และยังพบได้ในสเปรย์ต่าง ๆ อีกด้วย

• Nitrous Oxide (N2O) เป็นก๊าซมีพิษที่เกิดจากเครื่องยนต์ การเผาถ่านหิน และใช้ประกอบในรถยนต์เพื่อเพิ่มกำลังเครื่อง

ก๊าซเหล่านี้เช่น CFC จะทำปฏิกิริยากับรังสีอัลตราไวโอเลตและแตกตัวออกเป็นโมเลกุลคลอลีนและโมเลกุลต่างๆอีกหลายชนิด ซึ่งโมเลกุลเหล่านี้จะเป็นตัวทำลายโมเลกุลของออกซิเจนชนิดพิเศษหรือ O3 บนชั้นบรรยากาศโอโซน ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลต และอินฟาเรดส่องผ่านลงมายังพื้นโลกมากขึ้น ในขณะเดียวกันก๊าซเหล่านี้ก็กันรังสีไม่ให้ออกไปจากบรรยากาศโลก ด้วยว่าที่รังสีเหล่านี้เป็นพลังงาน พวกมันจึงทำให้โลกร้อนขึ้น

• ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน ( HFCS)

• ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน ( CFCS)

• ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ ( SF6 )

ก๊าซเหล่านี้สมควรที่จะต้องลดการปล่อยออกมา ซึ่งผู้ที่จะลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ได้ก็คือ มนุษย์ทุกคน

โพสดัชนีความสุขของคนไทย เพิ่มขึ้นในปี 53



ดัชนีความสุขอยู่ที่ระดับ 8.96 ปัจจัยหลักที่ทำมีความสุข คือ การรวมใจแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เชื่อสังคมจะเดินได้หาก การเมือง และ เศรษฐกิจดี...

เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2553 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยผลวิจัย "เอแบคเรียลไทม์โพลล์" เรื่อง ประมวลผลวิจัยแนวโน้มความสุขของประชาชน และการพยากรณ์ทางสถิติความสุขมวลรวมของประชาชนในปีใหม่ กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนระดับครัวเรือนใน 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า ในช่วงปลายปี 2552 คนไทยมีความสุขต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมากที่สุดคือ มีค่าความสุขเฉลี่ยอยู่ที่ 8.96 เมื่อค่าความสุขเต็ม 10 คะแนน รองลงมาคือ สุขภาพใจอยู่ที่ 7.96 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.72

ผู้อำนวยการศูนย์ฯ กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ความสุขของประชาชนต่อบรรยากาศทางการเมืองสูงถึง 5.58 หลังจากที่เคยค้นพบความสุขของประชาชนต่อบรรยากาศทางการเมืองเคยตกต่ำเลวร้าย เหลือประมาณ 2.00 ในการวิจัยช่วงวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาค่าความสุขมวลรวมของประชาชน ช่วงปลายปี 2552 พบว่า อยู่ที่ 7.26 ในทางสถิติถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี กล่าวได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความสุขในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปี ใหม่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงความสุขต้นเดือน ธ.ค.พบว่า ค่าความสุขของประชาชนลดลงจาก 9.86 มาอยู่ที่ 7.26 ดังกล่าว

นายนพดล กล่าวต่อถึงผลการสำรววจที่น่าสนใจว่า ผลการพยากรณ์ทางสถิติค่าดัชนีความสุขมวลรวม (GDH) ตลอดช่วงไตรมาสต่างๆ ในปีใหม่ 2553 พบว่า ถ้าไม่มีปัจจัยลบร้ายแรง หรือ ไม่มีปัจจัยบวกเป็นพิเศษแทรกซ้อนใดๆ คือ หากสังคมไทยอยู่ในสภาวะปกติ ค่าความสุขมวลรวมของคนไทยจะอยู่ที่ 6.87 ในไตรมาสแรก ส่วนในไตรมาสที่สอง ค่าความสุขของคนไทยจะอยู่ที่ 6.97 และอยู่ที่ 6.62 ในไตรมาสที่สาม ส่วนช่วงปลายปีหน้าค่าความสุขมวลรวมของคนไทยจะอยู่ที่ 7.86 จากค่าความสุขเต็มที่ 10 คะแนน

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวต่ออีกว่า ข้อมูลวิจัยที่ค้นพบบอกถึงความชัดเจนว่า สังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างปกติสุข หากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองดำเนินต่อไป ไม่แตกต่างไปจากช่วงเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา โดยกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ มุ่งทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ไม่ห้ำหั่นรุนแรงเข้าหากัน แต่ช่วยกันตรวจสอบอย่างเข้มข้น จนสามารถทำให้สาธารณชนตื่นตัวเข้มแข็งตัดสินใจในวันเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนใคร ผลที่คาดว่าจะตามมา คือ ทุกฝ่ายสามารถช่วยกันหล่อเลี้ยงความสุขของตนเอง และผู้อื่นในสังคมไทยโดยส่วนรวมให้อยู่ในสภาวะที่ดีเพียงพอได้

นายนพดล กล่าวด้วยว่า จากการวิเคราะห์ด้วยสถิติวิจัยก่อนหน้านี้และครั้งล่าสุด พบปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความสุขได้อย่างยั่งยืนคือ การที่คนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การนำหลักชีวิตแห่งความพอเพียงมาประยุกต์ใช้ การมีสุขภาพใจ นอนหลับพักผ่อนได้สนิท พักผ่อนได้เต็มที่ ได้ผ่อนคลาย ไม่เครียด มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ความเป็นธรรมในสังคม ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัว บรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของคนในชุมชน ความพอใจในหน้าที่การงาน สภาวะเศรษฐกิจครัวเรือน และความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นต้น

ที่มา นสพ.ไทยรัฐ ระบบออนไลน์ 5 มกราคม 2553


ดัชนีความสุขโลก (HPI: Happy Planet Index) ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า ประชากรสองแสนกว่าคนของวานูอาตู มีความสุขที่สุดในโลก ประเทศนี้น่าอยู่ที่สุดในโลก อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก และสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่อันดับที่ 150 จาก 178 ประเทศ เป็นประเทศที่คนมีความสุขน้อยที่สุด ไม่น่าอยู่ที่สุด และสิ่งแวดล้อมแย่ที่สุด

หรือว่าเวียดนาม (อันดับ 12 ของโลก อันดับ 1 ในเอเชีย) จะน่าอยู่กว่าไทย คนมีความสุขกว่าไทย (อันดับ 32 ของโลก อันดับ 7 ของเอเชีย) สิงคโปร์ (131 ของโลก อันดับสุดท้ายของอาเซียน อันดับท้ายๆ ของเอเชีย)

HPI ต้องการจะบอกว่า วันนี้ไม่มีประเทศไหนในโลกไปถึงจุดหมายของ "สุขภาวะ" "ความสมดุลย์" และ "ความยั่งยืน" ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้ตั้งคะแนนไว้ที่ 83.5 อันดับหนึ่งวานูอาตูได้เพียง 68.2 เท่านั้น

HPI เป็นแผนที่ความสุข ถ้าหากประเทศต่างๆ เดินตามแผนที่นี้ ก็จะพบความสุข ซึ่งก็เป็นเป้าหมายชีวิตของผู้คนทุกประเทศในโลก แต่รัฐบาลประเทศต่างๆ ได้กำหนดตัวชี้วัด "ผิดๆ " มานาน คิดว่าการมีรายได้มาก การบริโภคมาก ทำให้คนมีความสุข ซึ่งไม่จริง

ประเทศที่ GDP โตๆ ทั้งหลายไม่ได้มีความสุขเพิ่มขึ้นตามรายได้เลย อย่าไปมองไกลที่ไหนระหว่างปี 2530-2540 GDP ของไทยเติบโตทุกปีรวมแล้วเกินร้อยเปอร์เซนต์ แต่คนไทยก็ไม่ได้มีความสุขเพิ่มขึ้น ซ้ำยังทุกข์หนักอีกต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อฝันสลายฟองสบู่แตกในปี 2540

คนจะมีความสุขควรจะมี 3 อย่างที่ประสานกันไป คือ

1) ความพอใจในชีวิต ซึ่งวิชาการยืนยันว่าวัดได้ 2) อายุยืน การมีอายุยืนก็บ่งบอกถึงปัจจัยสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย 3) การใช้ทรัพยากร หรือผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้สูตรการคำนวณคือ HPI เท่ากับ 1X2 หาญด้วย 3

ความจริง ทั้งสามเรื่องก็ไม่ใช่อะไรใหม่เสียทีเดียว ใช้กันมาหลายปีแล้วโดยสหประชาชาติและหลายประเทศ ซึ่งปรับตัวชี้วัดการพัฒนา (ยั่งยืน) จากการเน้นเศรษฐกิจไปสู่การวัดสุขภาวะ (well-being) ของประชากร (HDI: Human Development Index)

แต่ที่เป็นเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่ คือ กระบวนทัศน์หรือทัศนะแม่บท (paradigm) อันเป็นฐานและวิธีในการวัด "ความสุขของโลก" (HPI) ซึ่งแตกต่างไปจากของยูเอ็นและอีกหลายประเทศ ไม่เช่นนั้น สหรัฐอเมริกาไม่น่าจะหล่นไปอยู่อันดับที่ 150 อังกฤษ 108 สวิเดน 119 ฟินแลนด์ 123 ฝรั่งเศส 129 รัสเซีย 172 ยูเครน 174 ทั้งๆ ที่รัสเซียมีรายได้ต่อหัวประชากรถึง 9,230 เหรียญสหรัฐ

แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ เรื่องทั้งหมดนี้มาจาก คนเล็กๆ กลุ่มเล็กๆ เอ็นจีโอเล็กๆ สององค์กร คือมูลนิธิเศรษฐศาสตร์ใหม่ (New Economics Foundation) และ เพื่อนโลก (Friends of the Earth) ซึ่งเป็นสหพันธ์องค์กรเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมใน 70 ประเทศ

ในองค์กรเหล่านี้มีคนที่เป็นมืออาชีพต่างๆ มาร่วมกันคิดร่วมกันทำงาน และไม่ได้หวังผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆ งบประมาณทำงานก็มาจากการบริจาค เป็นอาสาสมัครนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ทางเลือก ซึ่งรวมตัวกันตั้งแต่ปี 1986 เพื่อล้อยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม G8

วันนี้พวกเขามีตัวเลขมาบอกชาวโลกว่า ทำไมเขาถึงได้จัดสหรัฐอเมริกาไว้ที่อันดับ 150 ทั้งๆ ที่รายได้ต่อหัวประชากรถึงปีละ 37,562 เหรียญหรือ 1.420,000 บาท มีความพอใจในชีวิตอยู่ระดับสูงมาก คือ 7.4 เท่ากับวานูอาตู มากกว่าไทย (6.5) และอายุเฉลี่ยของคนอเมริกันก็ 77.4 สูงกว่าวานูอาตู (68.6)

ความแตกต่างอยู่ที่การใช้ทรัพยากรของคนอเมริกันซึ่งอยู่ที่ 9.5 เกือบสูงสุดในโลก หมายความว่า คนอเมริกันใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัด หรือมากกว่าที่ควรจะใช้ถึง 9.5 เท่า ไทยใช้ 1.6 สิงคโปร์ใช้ 6.2

ประเทศที่เรียกกันว่าพัฒนาแล้ว แต่ผลาญทรัพยากรทั้งหลายจึงหล่นไปอยู่ท้ายๆ พอๆ กับประเทศยากจนในแอฟริกา ซึ่งอายุเฉลี่ยก็สั้น รายได้ประชาชาติก็น้อย (ต่ำว่าพันเหรียญต่อคนต่อปี) อย่างสวาซีแลนด์ (177) ซิมบับเว (178) สองประเทศที่กำลังล่มสลายด้วยโรคเอดส์ อายุเฉลี่ยประชากรเพียง 32.5, 36.9 ความพึงพอใจในชีวิตอยู่ที่ 4.2, 3.3 เท่านั้น

จึงไม่แปลกที่ประเทศกำลังพัฒนาในระดับกลางๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นเกาะทั้งหลายจะรั้งอันดับดีๆ จนคนทั่วไปที่คุ้นกับกระบวนทัศน์กระแสหลักจะประหลาดใจและทำใจได้ยากที่เห็นประเทศอย่างโคลัมเบียติดอันดับสองของ HPI เพราะภาพที่สหรัฐอเมริกาป้ายสีให้ตลอดมาคือประเทศที่เต็มไปด้วยยาเสพติด และไม่เป็นประชาธิปไตย

คนไทยเองก็ทำใจไม่ได้ที่เห็นเวียดนามอยู่อันดับดีกว่าไทย กลายเป็นที่หนึ่งของเอเชีย และไม่ค่อยเห็นด้วยที่ ศรีลังกา ฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียได้อันดับดีกว่า (15,17,23 ตามลำดับ) เพราะคิดว่าตนเองเศรษฐกิจดีกว่า "พัฒนา" มากกว่า

HPI อยากบอกว่า 1) คนจะมีความสุข สังคมจะอยู่เย็นเป็นสุขไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรโลกมากมายอย่างที่ใช้กันเลย 2) การพัฒนาที่สมดุลย์จะสร้างความสุขวันนี้ และมีเหลือให้ลูกหลานในวันหน้า นี่คือการพัฒนายั่งยืน

HPI ได้เสนอแนวทางไปสู่ "ความอยู่เย็นเป็นสุข" โดยมีชีวิตอยู่ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดคือ

1) กำจัดความยากจนและความหิวโหยให้หมดไป เพราะวันนี้ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้แบ่งปันทรัพยากรให้ประเทศยากจนอย่างเป็นธรรม คนจนที่ไม่มีปัจจัยสี่เพียงพอย่อมไม่สามารถมีชีวิตที่ดีมีความสุขได้ ทำอย่างไรให้มีรายได้ มีที่ดิน มีอาหาร และปัจจัยจำเป็นอื่นๆ

2) สนับสนุนชีวิตที่มีความหมาย ซึ่งอยู่นอกจากงาน ซึ่งอาจไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ทำด้วยใจรัก ทำด้วยความพึ่งพอใจ เช่น การร่วมทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคม กิจกรรมเพื่อชุมชน กิจกรรมที่ทำให้ชีวิตรื่นรมย์ มีความหมาย มีความสุข ไม่ใช่มุ่งหาแต่เงินอย่างเดียว

3) พัฒนานโยบายเศรษฐกิจในขอบเขตของทรัพยากรที่มีอยู่ ไม่ใช้เกินขีดจำกัด ใช้ของตัวเองไม่พอไปใช้ของคนอื่นอีก การใช้อย่างพอเพียง แปลว่าใช้แล้วให้เหลือให้ลูกให้หลานได้ใช้ด้วย ความพอเหมาะพอควรวันนี้ไม่มีในโลก ทุกประเทศใช้เกินขีดทั้งนั้น เช่น สิงคโปร์ใช้ทรัพยากร 6.2 แปลว่า ถ้าทุกประเทศใช้อย่างนั้นเราจะต้องการโลกถึง 6 ใบกว่าๆ จึงจะตอบสนองความต้องการได้

ดัชนีความสุขโลกกลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ก็จะมีผลกระทบต่อสังคมโลกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะได้กระตุกความรู้สึกนึกคิดของผู้คนจำนวนมาก ไปโดนใจใครๆ ที่ตั้งคำถามเรื่องการพัฒนามานานแล้ว แต่ไม่มีใครหาคำตอบดีๆ ที่มีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ให้

ทำให้คนไทยจำนวนมากมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ใช่ปรัชญาลอยๆ แต่เป็นหลักคิดหลักปฏิบัติที่ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่ HPI พูดถึงเลย

เศรษฐกิจพอเพียงบอกไว้ 3 อย่างที่สำคัญ คือ

1) ความพอเหมาะพอควร ซึ่งก็เป็นหัวใจของ HPI ที่เสนอให้ใช้ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ ไม่ใช้เกินขีดความสามารถที่ธรรมชาติจะรับได้ เป็นเรื่องของ "ขนาด" (scale) ซึ่งรวมไปถึงขนาดของกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ ตั้งแต่ชุมชนไปจนถึงระดับชาติ ว่า "พอดี" อยู่ตรงไหน

สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะลงมือศึกษา HPI อย่างจริงจัง เพราะนักเศรษฐศาสตร์กลุ่มนี้มีหลักคิดหลักการที่ไม่ได้ต่างไปจากอี.เอฟ. ชูมาเคอร์ เลย จะว่ายึดเอานักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้เป็นปรมาจารย์ก็ไม่ผิด เพราะเขาคือคนที่พูดเรื่องเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เอารายได้หรือตัวเลขเป็นหลัก แต่เอา "คน" เป็นศูนย์กลาง เอา "ทรัพยากร" มาใช้อย่างสร้างสรรค์

2) ความมีเหตุมีผล เป็นแนวทางการจัดการชีวิต ความเป็นอยู่ เศรษฐกิจสังคมอย่างมีหลักวิชา ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ความรู้ ใช้ปัญญา เข้าใจปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของผู้คน การมีเหตุมีผลมาจากการเรียนรู้ที่เหมาะสม ทำให้คนพัฒนาศักยภาพของตนเอง ของท้องถิ่น และสามารถใช้ทรัพยากรอย่างมีเหตุมีผล เหมือนกับที่บรรพบุรุษของเราได้ใช้ด้วย "ภูมิปัญญา" จึงมีเหลือให้เรา ลูกหลานท่านวันนี้

3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึงการมีหลักประกันว่า สิ่งที่ทำจะมั่นคงยั่งยืน ไม่ใช่ทำแล้วล้มลุกคลุกคลาน หมายถึงต้องสร้างระบบ ไม่ใช่ทำโครงการ ใช้เงินกับอำนาจจะได้โครงการ ใช้ความรู้ใช้ปัญญาจะได้ระบบ โครงการมักไม่ยั่งยืน เพราะเงินหมดก็เลิก ของบประมาณใหม่ คนย้ายก็เลิก เพราะขึ้นกับคน แต่ระบบเป็นพลังที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้ถ้าเป็นระบบที่ดี

ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งตนเองเป็นระบบที่มี "ขนาด" ที่พอเหมาะพอดีสำหรับศักยภาพของท้องถิ่นที่จะบริหารจัดการ อยู่ที่ "ธรรมาภิบาล" ว่ามีพอหรือไม่ อยู่ที่กระบวนการเรียนรู้ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่

ประเทศไทยได้รับพระราชทาน "เศรษฐกิจพอเพียง" มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน เรามีของดีที่ไม่ได้ด้อยกว่า หรือแตกต่างไปจาก HPI เพียงแต่เราใช้ไม่เป็น เราไม่ได้ผนึกพลังคนมีความรู้ความสามารถมาช่วยกันคิดว่า ระบบที่จะเกิดด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงควรจเป็นเช่นไร "หนี่งในสี่" แปลว่าอะไร "พึ่งตนเอง" แปลว่าอะไร

เศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐานคืออะไร ขั้นก้าวหน้าคืออะไร เศรษฐกิจชุมชนกับเศรษฐกิจมหภาคเชื่อมต่อกันได้อย่างไร พอเพียงในธุรกิจ ในภาคอุตสาหกรรมและบริการคืออะไร โครงสร้างพื้นฐานขนาดไหนจึงจะ "พอเพียง"

ซึ่งที่สุดก็แปลว่าจะส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นนโยบายการพัฒนาประเทศได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพียง "วาทกรรม" ที่พูดเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองหรือหน่วยงาน

HPI ทำให้เราเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจพอเพียงสามารถทำให้คนไทยมีความสุขได้ มีความพอใจในชีวิต มีอายุยืนยาว รวมทั้งมีรายได้เพียงพอ และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคง

ถ้าเราไม่รีบดำเนินการ ไม่นานเมืองไทยอาจจะไหลลงไปเลยอันดับที่ 100 ของ HPI เพราะขณะนี้คนไทยก็เครียด บ้า และฆ่าตัวตายมากขึ้นเรื่อยๆ ทรัพยากรก็ลดน้อยลงไป หนี้สินชาวบ้านนับวันนับจะเพิ่มมากขึ้นแบบไม่มีทางออก

ถึงเวลาตั้งสติกันได้แล้ว ของดีมีอยู่ ความคิดดีมีอยู่อย่างพอเพียงในบ้านเรานี่เอง

(ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.neweconomics.org และ http://www.happyplanetindex.org)

ปรับตัวราคาน้ำมันรับปีเสือดุ 2553


ราคาน้ำมัน อังคาร 5 มกราคม 2553 >ปรับตัวขึ้นอีก 80 สตางค์ต่อลิตรมีผลในวันนี้ นักศึกษาคงอยากรู้ว่าทำไมน้ำมันขึ้นราคา มีสาเหตุใดนั้น ... วันนี้อาจารย์มีคำตอบให้ ว่าน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้แล้วสูญสิ้นไป ....

ผู้ค้าน้ำมันทุกรายปรับขึ้นราคาขายปลีกทุกชนิด 80 สตางค์ (สต.) ต่อลิตร เชลล์ นำร่องขึ้นราคาก่อนเป็นรายแรก มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ขณะที่ ปตท. และ บางจาก ปรับตาม มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. ...

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายปรับขึ้นราคาขายปลีกทุกชนิด 80 สตางค์ (สต.) ต่อลิตร โดยบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัดนำร่องขึ้นราคาก่อนเป็นรายแรก มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ปรับตาม มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.

นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตลาดขายปลีกหน่วยธุรกิจน้ำมัน ปตท. กล่าวว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา จากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านดัชนีชี้วัดต่างๆ เริ่มเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับปริมาณสำรองทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปทั้งดีเซลและเบนซินที่ตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากช่วงกลางเดือน ธ.ค.กว่า 7-8 เหรียญฯ โดยวันที่ 4 ม.ค. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเบนซินปรับขึ้นมาอยู่ที่ 86.55 เหรียญฯ น้ำมันดีเซลปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 84.73 เหรียญฯ และน้ำมันดิบดูไบปรับขึ้นมาอยู่ที่ 77.95 เหรียญฯ ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนขายปลีกในประเทศมาตลอด แต่ ปตท.ตรึงการปรับราคาขายปลีกไว้ในช่วงวันหยุดปีใหม่ ทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 20 สต.ต่อลิตร

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน กล่าวถึงธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในปีนี้อาจไม่ดีเท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ผู้ค้าน้ำมันมีกำไรจากค่าการตลาดในรอบ 10 ปี โดยเฉลี่ยตลอดปีที่ผ่านมา ค่าการตลาดอยู่ที่ 1.50 บาทต่อลิตร แต่ในปีนี้ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาขึ้น จะทำให้ผู้ค้าน้ำมันมีแรงกดดันจากสังคมในการปรับราคาขายปลีกแต่ละครั้งต่างจากปีก่อน "ยอมรับว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมตามที่ สนพ.กำหนดไว้ 1.50 บาทต่อลิตร เป็นเพียงตัวอ้างอิงเท่านั้น แต่ในทางธุรกิจ ผู้ค้าน้ำมันควรจะได้รับค่าการตลาดมากกว่านี้ ทำให้มีความพยายามจะยกระดับค่าการตลาดเหมาะสมให้ได้ในระดับ 1.60-1.80 บาทต่อลิตร".

ที่มา นสพ.ไทยรัฐ 5 มกราคม 2553

เงินเฟ้อ (Inflation)


เงินเฟ้อ หมายถึง การที่ระดับราคาราคาของสินค้าหรือการบริการในช่วงระยะเวลาหนึ่งราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหน่วยวัดในรูปแบบของอัตราร้อยละจากดรรชนีราคา

สาเหตุใหญ่ๆ คือ ....

1) ต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น (Cost-push inflation) ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เช่น การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ การเพิ่มกำไรของผู้ประกอบการ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเพิ่มไปตามภาวะ ตลาดโลก หรือผลของอัตราแลกเปลี่ยน

2) ความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่มีอยู่ในขณะนั้นๆ จึงดึงให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น (Demand-pull inflation) หรือ มีแรงดึงทางด้านอุปสงค์ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาล การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553

การก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้


<

กระแสการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือองค์กร การเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วและรุนแรง ก็ด้วยปัจจัยที่เกิดจากการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสาร สนเทศ ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบกับการดำเนิน งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ ส่งผลให้เวทีการแข่งขันที่เคยจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ ขยายขอบ เขตออกไปครอบคลุมทั่วโลก และตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ ปี 2545-2549 ได้กำหนดให้การบริหารงานภาครัฐเข้าสู่ ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) อีกทั้งแนวคิดในการบริหารจัดการสมัยใหม่ ทั้งการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) การจัดการคุณภาพ (Quality Management) การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) และ การจัดการความรู้ (Knowledge Management) ทำให้องค์กรและหน่วยงานทั้งหลายต้องปรับท่าที เพื่อความอยู่รอด และมีภูมิคุ้มกันอย่างมั่นคง เพราะองค์กร เป็นสิ่งมีชีวิต (Organic) ไม่ใช่เครื่องจักร (Mechanic) โดยคนเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ ซึ่งคนก็ไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นทุนมนุษย์ (Human Capital) เพราะในตัวคนมี ทักษะและประสบการณ์ที่ก่อให้ เกิดความชำนาญซึ่งเป็น “ทุนความรู้” (Knowledge Capital) จำเป็นต้องสร้างค่านิยมขององค์การ (Corporate Value) และวัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) ที่ดี ความรู้ภายใต้บริบทเฉพาะมักแฝงอยู่ในภาษา วัฒนธรรม หรือประเพณี นักวิพากษ์ ลัทธิจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม กล่าวว่าการเกิดขึ้นของวัฒนธรรมเดี่ยว ทำให้ความรู้ท้องถิ่นบางอย่างถูกทำลายลง ทำอย่างไรให้ความรู้ในทางปฏิบัติ ซึ่งมักเป็นที่ทราบกันในตัวคนหรือกลุ่มคน ถูกปรับเปลี่ยนและจัดการอย่างเป็นระบบ (Knowledge Management) เพื่อรักษาองค์กรไว้ ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ ให้ความรู้ทั้งหลายนั้นกลายเป็นความรู้ที่เกิดประ โยชน์สำหรับคนทั้งองค์กร เพื่อการก้าวเข้าสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เพราะ “ความรู้” คือ “อำนาจ”

ความรู้ คือ อะไร?

คำว่า ความรู้ (Knowledge) นั้น ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำ ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็นได้ หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคำจำกัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจำอะไรได้ ระลึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจำได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สำคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความ สามารถทางสมองมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ฮอสเปอร์ ชี้ให้เห็นว่า เป็นขั้นตอนต่อมาจากความรู้ โดยเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นที่สูงขึ้น จนถึงระดับของการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยการใช้ปากเปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลได้รับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียน แล้วแสดงออกมาในรูปของการใช้ทักษะหรือการแปลความหมายต่าง ๆ เช่น การบรรยายข่าวสารที่ได้ยินมาโดยคำพูดของตนเอง หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยคงความหมายเดิมเอาไว้ หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อสรุปหรือการคาดคะเนก็ได้
Davenport & Prusak ได้ให้นิยามความรู้ว่า "ความรู้คือส่วนผสมที่เลื่อนไหลของประสบการณ์ที่ได้รับการวางโครงร่าง, เป็นคุณค่าต่างๆ, ข้อมูลในเชิงบริบท, และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่ชำนาญการ ซึ่งได้นำเสนอกรอบหรือโครงร่างอันหนึ่งขึ้นมา เพื่อการประเมินและการรวบรวมประสบการณ์และข้อมูลใหม่ ๆ มันให้กำเนิดและถูกประยุกต์ใช้ในใจของบรรดาผู้รู้ทั้งหลาย ในองค์กรต่าง ๆ บ่อยครั้ง มันได้รับการฝังตรึงไม่เพียงอยู่ในเอกสารต่าง ๆ หรือในคลังความรู้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในงานประจำ, กระบวนการ, การปฏิบัติ และบรรทัดฐานขององค์กรด้วย"

ในหนังสือ “Working Knowledge: How Organization Manage What They Know” โดย ดาเวนพอร์ต ที เอ็ช และ แอล พรูสัก (Davenport, T. H., และ L. Prusak, Boston: Havard Business School Press) อ้างถึงใน องค์กรแห่งความรู้ จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ หน้า 17 ของ รศ.ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ ว่า ความรู้ คือ “กรอบของการผสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง ซึ่งจะเป็นกรอบสำหรับประเมินค่า และการนำประสบการณ์สารสนเทศใหม่ ๆ มาผสมรวมด้วยกัน”

ยังมีผู้ให้ความหมายและคำจำกัดความอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้ จากสัดส่วนความรู้ในองค์กรจะพบว่า ความรู้ประเภท Tacit ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้จากทักษะและประสบการณ์ที่อยู่ในตัวคนมีถึงร้อยละ 80 ส่วนความรู้ประเภท Explicit ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นเหตุและเป็นผลที่สามารถจะบรรยาย ถอดความ ออกมาในรูปของทฤษฎี การแก้ไขปัญหา คู่มือ หรือในรูปฐานข้อมูล ความรู้ประเภทนี้มีเพียงร้อยละ 20 (ในบางแนวคิดได้แบ่งความรู้ออกเป็น4 ประเภท 1.Tacit 2. Implicit 3. Explicit 4. Embedded )

ความรู้ที่เกิดขึ้นเกิดจากการพัฒนาการเรียนรู้ที่มีการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานซึ่งมีผู้รู้ที่ศึกษาด้านนี้ และเปรียบเทียบในลักษณะของการหมุนเกลียวการเรียนรู้ (Knowledge Spiral) ซึ่งคิดค้นโดย IKUJIRO NONAGA และ TAKRUCHI ดังรูป 1 ที่แสดง ขออธิบายดังนี้ จากรูป Knowledge Spiral จะเห็นว่ากระบวนการปรับเปลี่ยนและสร้างความรู้แบ่งออกได้เป็น 4
ลักษณะดังนี้

1. Socialization เป็นขั้นตอนแรกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการสร้าง Tacit Knowledge จาก Tacit Knowledge ของผู้ร่วมงานโดยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงที่แต่ละคนมีอยู่

2. Externalization เป็นขั้นตอนที่สองในการสร้างและแบ่งปันความรู้จากสิ่งที่มีอยู่และเผยแพร่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการแปลงความรู้จาก Tacit Knowledge เป็น Explicit Knowledge

3. Combination เป็นขั้นตอนที่สามในการแปลงความรู้ขั้นต้น เพื่อการสร้าง Explicit Knowledge จาก Explicit Knowledge ที่ได้เรียนรู้ เพื่อการสร้างเป็นความรู้ประเภท Explicit Knowledge ใหม่ ๆ

4. Internalization เป็นขั้นตอนที่สี่และขั้นตอนสุดท้ายในการแปลงความรู้จาก Explicit Knowledge กลับสู่ Tacit Knowledge ซึ่งจะนำความรู้ที่เรียนมาใช้ในการปฏิบัติงานหรือใช้ในชีวิตประจำวัน


องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization : LO) คืออะไร ?

Peter Senge (1990) แห่ง Massachusetts Institute of Technology กล่าวว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถขยายศักยภาพของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างผลงานตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นที่ซึ่งเกิดรูปแบบการคิดใหม่ ๆ หลากหลายมากมาย ที่ซึ่งแต่ละคนมีอิสระที่จะสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นที่ซึ่งทุกคนต่างเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ร่วมกัน

David A. Gavin (1993) แห่ง Harvard University กล่าวว่า คือ องค์กรที่มีลักษณะในการสร้าง แสวงหา และถ่ายโยงความรู้ และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากความรู้ใหม่ และการเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ อย่างถ่องแท้

Michaek Marquardt (1994) แห่ง George Washington University กล่าวว่า องค์กรที่ซึ่งมีบรรยากาศของการเรียนรู้รายบุคคลและกลุ่ม มีการสอนคนของตนเองให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อช่วยให้เข้าใจในสรรพสิ่ง ขณะเดียวกันทุกคนก็ช่วยองค์การ จากความผิดพลาดและความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลให้ทุกคนตระหนักในการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช แห่งสำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า องค์การเอื้อการเรียนรู้ มีลักษณะเป็นพลวัต Dynamics) มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของพัฒนาการด้าน ๆ คล้ายมีชีวิต มีผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการสร้างนวัตกรรม (Innovation) รวมทั้งมีบุคลิกขององค์การในลักษณะที่เรียกว่าวัฒนธรรมองค์การ (Corporate Culture) ที่ผู้เกี่ยว ข้องสัมพันธ์สามารถรู้สึกได้

ทำไมต้องมีการจัดการความรู้ ?
ด้วยวัฒนธรรมการทำงานขององค์การไม่เอื้อต่อการพัฒนาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ บุคลากรส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะคนที่มีอายุเฉลี่ยค่อนข้างมากจะทำงานตามหน้าที่ ที่เคยปฏิบัติ ทำให้ขาดความกระตือรือร้น และความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง องค์กรขาดความต่อเนื่อง ในการเชื่อมโยงความรู้ระหว่างบุคลากรแต่ละรุ่น หรือกลุ่มวัยที่ต่างกัน รศ.ดร. เอื้อน ปิ่นเงิน และ รศ. ยืน ภู่วรวรรณ ได้กล่าวถึง สาเหตุการคิดการจัดการความรู้ (เอื้อน ปิ่นเงิน และ ยืน ภู่วรวรรณ, 2546) เรื่องนี้ว่า ....

“สารสนเทศล้น กระจัดกระจาย และจัดเก็บอยู่ในแหล่งเก็บที่หลากหลาย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เรามีข้อมูลมากมาย แต่ความรู้มีน้อย ในยามที่ต้องการข้อมูลการตัดสินใจ การรวบรวมข้อมูลได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และไม่ครบถ้วน อีกทั้งใช้เวลาค้นหานาน การจัดการความรู้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้ปัญหาดังกล่าว บรรเทาลงหรือหมดไป ยิ่งไปกว่านั้นการก้าวเข้าสู่สังคมภูมิปัญญาและความรอบรู้ เป็นแรงผลักดันทำให้องค์การต้องการพัฒนาไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Enterprise) เพื่อสร้างความคุ้มค่าจากภูมิปัญญาและความรอบรู้ที่มีอยู่ เปลี่ยนสินทรัพย์ทางปัญญาให้เป็นทุน ด้วยการจัดการความรอบรู้และภูมิปัญญา ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เป็นแบบ Knowledge Worker ด้วย

ขั้นแรกที่จะนำไปสู่การจัดการความรู้ คือการจัดเก็บข้อมูลไว้ในคลังข้อมูล (Data Warehouse) ที่มีการวิเคราะห์ประมวลผล คัดกรองข้อมูล (Data Mining) เพื่อให้ได้ความรู้ที่น่าสนใจ ได้แก่กฎ ระเบียบ หรือลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นประจำ รูปแบบ หรือสิ่งผิดปกติ จากข้อมูลที่เก็บไว้ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่”

จากที่ทั้งสองท่านกล่าว ก็เพื่อให้ความรู้ในองค์กรมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ และสามารถเรียกใช้หรือสืบค้นได้ ด้วยแนวความคิดการจัดการความรู้จึงเกิดขึ้น นั่นหมายถึง ความสามารถในการจัดการความรู้ โดยรวบรวมความรู้ทั้งสองประเภทให้เกิดประโยชน์กับองค์การ ทั้งนี้เพราะองค์กรเป็นผู้ที่ลงทุน ที่ก่อ ให้เกิดความรู้ในการทำงานของพนักงานแต่ละคน และเมื่อพนักงานเหล่านั้นลาออก ความรู้ตรงจุดนั้นก็จะหายไปพร้อมกับพนักงานคนนั้น ความรู้เป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร องค์กรต้องเสริมสร้างและรักษาไว้ ซึ่งความสามารถขององค์กรในการทำให้วงจรการเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ เพื่อเพิ่มคุณค่าของกิจการภายในองค์การ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) กำหนดให้การจัดการความรู้เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัดในการประเมินหน่วย

งานราชการมีแนวคิดและกระบวนการอย่างไร ในการจัดการความรู้ ?

กระบวนการจัดการความรู้นั้น มีองค์ประกอบหลักก็คือ ระบบการสร้างฐานความรู้ การรวบรวม การจัดเก็บ การค้นหา การเผยแพร่ และการถ่ายทอดแบ่งปัน มีผู้รู้ที่ศึกษาค้นคว้าด้านนี้หลายท่านด้วยกัน และได้สร้าง Model ในการนำไปสู่การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดของ Michael J. Marquardt, David A. Gavin , Perter M. Senge หรือ ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด ก็ขอเสนอแนวคิดท่านผู้รู้ เพื่อให้ท่านได้ศึกษาเป็นแนวทางพอสังเขปดังนี้
แนวคิดของท่านอาจารย์ ดร. ประพนธ์ ผาสุกยืด แห่งสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้ เพื่อสังคม (สคส.) ที่ได้นำเสนอ TUNA Model หรือ KM Model “ปลาทู” ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่ง Knowledge Vision (KV) มีส่วนหัว ส่วนตา มองว่ากำลังจะไปทางไหน ต้องตอบได้ว่า “ทำ KM ไปเพื่ออะไร” ความสนใจร่วมหรือปัญหาร่วมของชุมชนในองค์กร ส่วนที่สอง Knowledge Sharing (KS) ส่วนกลางลำตัว ส่วนที่เป็น “หัวใจ” ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยเหลือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน (Share & Learn) ถ้าไม่สามารถทำให้รู้สึกรักและปรารถนาดีต่อกันด้วยความจริงใจได้ ใจใครก็บังคับใครไม่ได้ และส่วนที่สามKnowledge Assets (KA) เป็นส่วนขุมความรู้ที่ทำให้มีการนำความรู้ไปใช้งานและมีการต่อยอดยกระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ

Model ของ Peter M. Senge แห่ง Massachusetts Institute of Technology ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Fifth Discipline: the Art and Practice of the Learning Organization.” กล่าวถึงลักษณะขององค์การที่เรียนรู้ ไว้ว่า องค์การที่เรียนรู้นั้น จะต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติ 5 ประการ คือ

1. System Thinking คือ ความสามารถในการคิดเชิงระบบ คนในองค์การสามารถมองเห็นวิธีคิดและภาษาที่ใช้อธิบายพฤติกรรมความเป็นไปต่างๆ ถึงความเชื่อมโยงต่อเนื่องของสรรพสิ่งและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ผูกโยงกันเป็นระบบเป็นเครือข่ายซึ่งผูกโยงด้วยสภาวะการ พึ่งพาอาศัยกัน สามารถมองปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็น วัฎจักรโดยนำมาบูรณาการเป็นความรู้ใหม่ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลงระบบได้อย่างมีประสิทธิผลสอดคล้องกับความเป็นไปในโลกแห่งความจริง

2. Mental Model คือการตระหนักถึง กรอบแนวคิดของตนเอง ทำให้เกิดความกระจ่างกับรูปแบบ ความคิด ความเชื่อ ที่มีผลต่อการตัดสินใจและการกระทำของตน และเพียรพัฒนารูปแบบความคิดความเชื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ยึดติดกับความเชื่อเก่าๆที่ล้าสมัย และสามารถที่จะบริหารปรับเปลี่ยน กรอบความคิดของตน ทำความเข้าใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับความคิดในเชิงการรื้อปรับระบบงาน (Reengineering)
3. Personal Mastery องค์การที่เรียนรู้ต้องสามารถส่งเสริมให้คนในองค์การสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเอง คือการสร้างจิตสำนึกในการใฝ่เรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคคล สร้างสรรค์ผลที่มุ่งหวัง และสร้างบรรยากาศกระตุ้นเพื่อนร่วมงานให้พัฒนาศักยภาพไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหมายถึงการจัดกลไกต่าง ๆ ในองค์การ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างองค์การ ระบบสารสนเทศ ระบบการพัฒนาบุคคล หรือแม้แต่ระเบียบวิธีการปฏิบัติงานประจำวัน เพื่อให้คนในองค์การได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มเติมได้อย่างต่อเนื่อง

4. Shared Vision องค์การที่เรียนรู้จะต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม ซึ่งจะเป็น กรอบความคิด เกี่ยวกับสภาพในอนาคตขององค์การ ที่ทุกคนในองค์การมีความปรารถนาร่วมกัน ช่วยกันสร้างภาพอนาคตของหน่วยงานที่ทุกคนจะทุ่มเทผนึกแรงกายแรงใจกระทำให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเรียนรู้ ริเริ่ม ทดลองสิ่งใหม่ๆ ของคนในองค์การ เป็นไปในทิศทาง หรือกรอบแนวทางที่มุ่งไปสู่จุดเดียวกัน
5. Team Learning ในองค์การที่เรียนรู้ จะต้องมีการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม คือการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์และทักษะวิธีคิดเพื่อพัฒนาภูมิปัญญาและศักยภาพของทีมงานโดยรวม มีการแบ่งปันแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดข้อมูล ในระหว่างกันและกัน ทั้งในเรื่องของความรู้ใหม่ๆ ที่ได้มาจากการค้นคิด หรือจากภายนอก และภายใน การเรียนรู้เป็นทีม นี้ยังควรครอบคลุมไปถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย ซึ่งการเรียนรู้และพัฒนาในเรื่องนี้ ก็จะช่วยให้การทำงานร่วมกันในองค์การ มีความเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สมาชิกแต่ละคนสามารถแสดงศักยภาพที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่

จากหลัก 5 ประการนี้เกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อาศัยพลังแห่งการเรียนรู้เป็นกลุ่ม พลังแห่งการมองภาพรวม มองความเชื่อมโยง มองความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัต มองอนาคต มองเชิงบวก มองเห็นสภาพความเป็นจริง มองแบบไม่ยึดติด ลดอัตตาหรือตัวกู-ของกู มองที่ประโยชน์หรือความมุ่งมั่นเพื่อส่วนรวมหรือคุณค่าอันยิ่งใหญ่ และอาศัยพลังแห่งทักษะของการเรียนรู้ร่วมกัน การเปลี่ยนสภาพหรือสิ่งที่ดูเสมือนเป็นจุดอ่อนหรือปัญหาให้กลายเป็นจุดแข็ง เป็นโอกาสหรือพลังในการดำเนินงานให้ก้าวหน้าไปได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

แนวคิดขององค์กรแห่งการเรียนรู้จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากองค์การทั่วไป จากการประมวลหนังสือ บทความ เอกสารต่าง ๆ พบว่า ปัจจุบันนี้มีการอ้างอิงแนวคิดเกี่ยวกับองค์กรแห่งเรียนรู้ของนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีชื่อเสียง 3 ท่านมากที่สุด คือ Peter M. Senge, Michael Marquardt และ David A. Gavin ซึ่งแนวคิดทั้ง 3 ท่านก็คือการนำพาองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ แต่ไม่ว่าจะเป็นลักษณะที่กำหนดโดยท่านใด จะชี้ให้องค์การทั้งหลายเห็นว่าการพัฒนาองค์การให้เป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ จำเป็นต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม


ทำไมต้องก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ?

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่ามีศัพท์ทางวิชาการหลายคำที่เกี่ยวข้องท่านทั้งหลายที่สนใจสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ ผู้เขียนก็ศึกษาในระดับหนึ่ง เพื่อการนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นไปตาม พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 หมวด 3 มาตรา 11 “ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้”

ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สำหรับ หมวด 3 มาตรา11 นี้เป็นเรื่องของการนำหน่วยราชการไปสู่การเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยให้หน่วยงานแต่ละหน่วยเริ่มจาก การจัดการความรู้ เพราะการจัดการความรู้เป็นจุดเริ่มที่จะนำไปสู่ องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยมี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการติดตามและประเมินผล


จะก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ อย่างไร?

ความไม่สำเร็จในกระบวนการสร้างวิสัยทัศน์อาจเกิดได้จาก 4 สาเหตุคือ หนึ่งความเห็นไม่สอดคล้อง มีความเห็นที่แตกต่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีการ “แบ่งขั้ว” สองถอดใจ เพราะเห็นว่าช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์กับความเป็นจริงห่างกันเหลือเกิน สามหมดแรง เพราะสภาพความเป็นจริงก่อปัญหาหรือมีภาระงานให้ต้องดำเนินการมากจนหมดแรง สี่ขาดกระบวนการกลุ่ม ทำให้คนบางคนหรือบางกลุ่มเปลี่ยนใจหรือไม่เอาด้วย

การสร้างขีดความสามารถในการเรียนรู้องค์การนั้น แม้จะดูเหมือนกับว่าต้องมีการนำความคิดใหม่ ๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อนเข้ามาเผยแพร่ให้ทุกคนในองค์การเข้าใจและยอมรับ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การทำให้องค์การเรียนรู้นั้นสามารถใช้เทคนิควิธีการปฏิบัติงาน และเทคนิคการปรับปรุงการบริหารต่าง ๆ ที่องค์การเคย หรือกำลังปฏิบัติอยู่แล้วก็ได้ เช่น การจัดการเชิงกลยุทธ์ การปรับโครงสร้างองค์การ หรือกิจกรรมการเพิ่มผลผลิต เพียงแต่พยายามทำให้คนในองค์การเห็นว่า ทุกสิ่งที่เขาทำอยู่แล้วนั้นล้วนเป็นการเรียนรู้ทั้งสิ้น เขาจะต้องเห็นถึงกระบวนการในการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น และสามารถเก็บเกี่ยวความรู้จากประสบการณ์นั้น ๆ ไว้เป็นสินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Asset) ที่สามารถเก็บสะสมไว้สำหรับเลือกนำมาใช้ในอนาคต หรือจะเลือกนำมาแบ่งปันให้แก่คนอื่น ๆ ตามกระบวนการเรียนรู้ของทีมก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่ต้องปฏิบัติงานร่วมกันได้มีความรู้ความเข้าใจในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้ทุก ๆ คนในองค์การได้ร่วมกันบุกเบิก เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไปอีก การสร้างความมั่นใจในความสำเร็จที่นำหน้าความล้มเหลว ความตระหนักเช่นนี้ ทำให้ไม่ประมาท “องค์กรแห่งการเรียนรู้” ก็คือศาสตร์ที่จะช่วยให้องค์การประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน เนื่องจากจะทำให้องค์การสามารถยืนและปรับตัวเผชิญสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ในมุมมองผู้เขียนที่ทำงานด้านเทคโนโลยีและได้ศึกษาติดตามเกี่ยวกับ นวัตกรรมและองค์การ มาตลอดจะเห็นว่าองค์การรูปแบบใหม่จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคมที่มีข้อ กำหนดจากประชาคมโลกและการแข่งขันมีมากขึ้น มาตรฐานด้านคุณภาพเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การทุกระดับจะต้องเกิดขึ้น เพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการ เรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะการทำงานของบุคคลและใช้ทุกสิ่งจากการทำงานเป็นฐานความรู้ที่สำคัญประกอบกับใช้กลยุทธ์การแสวงหาความรู้การแบ่งปันความรู้ การสร้างองค์ความรู้ และการใช้ความรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง Michael Beck (1992) อธิบายว่า “องค์การเอื้อการเรียนรู้ คือ องค์การที่เอื้ออำนวยการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากรทุกคน ขณะเดียวกันก็มีการปฏิรูปองค์การอย่างต่อเนื่อง” การจัดการความรู้นั้น เริ่มแรกคงต้องสร้างให้บรรยากาศขององค์กรหรือหน่วยงานให้มีมุมมอง หรือทิศทางเดียวกันก่อน โดยการสร้างภาคีหรือกัลยาณมิตรให้เกิดในองค์กร ว่าวันนี้เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนองค์กร เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้กับทุกคนโดยองค์การต้องให้ความรู้ ความเข้าใจกับบุคลากรทุกระดับ ด้วยการสื่อความเข้าใจในทุกรูปแบบ ถึงกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนได้กล่าวไว้ในเบื้องต้น เป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กร มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรที่มีความรู้ด้านการจัดการองค์ความรู้ และผู้รู้ที่จะก้าวนำ ตั้งแต่ท่านอธิการบดี รังสรรค์ แสงสุข ที่ได้ชี้นำ เพื่อการปรับสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ โดยท่านได้ให้รวบรวมความรู้ในส่วนต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เข้าสู่ระบบดิจิตอล และท่านริเริ่มให้ผู้บริหารทุกท่านเขียนบทความ เพื่อดึงความรู้ความสามารถแต่ละท่านออกมา และยังมีท่านผู้รู้อีกหลายท่านในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะคณาจารย์จากสาขาวิชาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไม่ว่าท่าน รศ.ดร.โฆษิต อินทวงศ์ ซึ่งสถาบันคอมพิวเตอร์ได้เรียนเชิญท่านมาบรรยายให้ความรู้กับบุคลากรของสถาบันฯ ในการสัมมนาของสถาบันฯ ในเรื่องการบริหารจัดการความรู้ และผู้ที่ต้องพูดถึงอีกท่านหนึ่งคือรองอธิการบดีฝ่ายบริหาร รศ.คิม ไชยแสนสุข ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ ของมหาวิทยาลัย และอีกท่านหนึ่งที่ผมให้ความเคารพและเป็นที่ยอมรับในแวดวงนี้ก็คือ ท่าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช แห่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งผมเคยร่วมบรรยายในการสัมมนาทางวิชาการกับท่านที่หอประชุมองค์การยูเนสโก ซึ่งท่านก็ให้ความเมตตาและสนใจมหาวิทยาลัยรามคำแหงไม่น้อย เมื่อความพร้อมของบุคลากรทั้งภายในและภายนอกที่สามารถชี้แนะและให้ความรู้ในการชี้นำให้การขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้ ในขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐานของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล เพื่อการจัดเก็บและเผยแพร่ หรือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากร ก็มีความพร้อมโดยสถาบันฯ ได้สร้างเวปไซต์สำหรับการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ดังรูป) และได้ฝึกอบรมบุคลากรในการสร้างฐานความรู้ของตนเองในระบบอินเทอร์เน็ตไปส่วนหนึ่งแล้ว เพื่อให้การก้าวที่เร็วขึ้น สถาบันคอมพิวเตอร์ก็ได้ตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อการจัดการฐานความรู้ในส่วนของสถาบัน ฯ
ในแนวคิดผู้เขียน ความไม่สำเร็จในกระบวนการสร้างวิสัยทัศน์อาจเกิดได้จาก 4 สาเหตุคือ ความเห็นไม่สอดคล้อง มีความเห็นที่แตกต่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีการ “แบ่งขั้ว” ถอดใจ เพราะเห็นว่าช่องว่างระหว่างวิสัยทัศน์กับความเป็นจริงห่างกันเหลือเกิน หมดแรง เพราะสภาพความเป็นจริงก่อปัญหาหรือมีภาระงานให้ต้องดำเนินการมากจนหมดแรง ขาดกระบวนการกลุ่ม ทำให้คนบางคนหรือบางกลุ่มเปลี่ยนใจหรือไม่เอาด้วย องค์การ คือเครื่องมือทางสังคมที่ใช้สำหรับช่วยให้มนุษย์สามารถนำศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนออกมาใช้ร่วมกันอย่างมีคุณค่า และยังสามารถเรียนรู้เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพให้สูงขึ้นไปอีกด้วย ดังนั้นองค์การที่เรียนรู้จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเสริมคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นมนุษย์ให้แก่คนที่เป็นสมาชิกขององค์การ มหาวิทยาลัยมีความพร้อมที่จะก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่ด้วยการบังคับ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 สำหรับ หมวด 3 มาตรา11 แต่ควรมีจิตสำนึกและทำด้วยความเต็มใจเพราะเราเป็นสถาบัน การศึกษาและเป็นคลังสมองของประเทศ จำเป็นต้องมีแหล่งความรู้หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้


เพื่อการปฏิบัติการ ความรู้เพื่อการบริหารจัดการ และความรู้ในด้านวิชาการที่มหาวิทยาลัยมีความเชี่ยวชาญ ในการจัดการองค์ความรู้ ควรจัดให้เป็นหมวดหมู่และเหมาะแก่บุคลากรแต่ละกลุ่มในการใช้องค์ความรู้ เพื่อเสริมสร้างการปฏิบัติงานในส่วนงานประจำให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างปัญญาในส่วนที่สนใจเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กรและบุคลากร ซึ่งองค์กรควรกำหนดมาตรฐานในการเรียนรู้สำหรับบุคลากรแต่ละกลุ่ม เช่นระดับผู้ปฏิบัติงานควรเรียนรู้เรื่องใดบ้าง ระดับหัวหน้าภาค/หัวหน้าฝ่าย หรือ คณบดี/ผู้อำนวยการสำนัก/ผู้อำนวยการสถาบัน หรือรองอธิการบดี ควรรู้เรื่องใดบ้าง ซึ่งจะทำให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยมีความรู้เกี่ยวการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มและเมื่อเกิดปัญหาในการปฏิบัติ ก็สามารถเรียกขึ้นมาดูเพื่อแก้ปัญหาได้ สิ่งที่ไม่ไกลเกินตัวถ้าแต่ละหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นคณะ/สำนัก/สถาบัน สร้างฐานความรู้ในสิ่งที่ตนเองมีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยในเบื้องต้นอาจจะรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ในหน่วย งานให้เป็นฐานความรู้ในระบบดิจิตอล และรวบรวมแหล่งความรู้จากเวปต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับบุคลากร นักศึกษา และประชาชน สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งอาจจะเป็นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ตก็ตาม

บทสรุป

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น ความรู้ ซึ่งหมายถึง สารสนเทศผนวกกับทักษะประสบการณ์ของบุคลากร ความรู้จะเป็นตัวสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์การ ที่พร้อมจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในองค์การ ในการบริหารความสำเร็จจำเป็นต้องขยายผลจากการทำให้วิสัยทัศน์มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความกระตือรือร้นขององค์กรในการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ และเพิ่มพูนสมรรถนะที่จะก่อเกิดความก้าวหน้าในการดำเนินกิจการไปสู่เป้าหมายร่วมกันขององค์การ ประสิทธิภาพ ประสิทธิ ผลขององค์การ ขึ้นกับความสามารถของบุคลากรในองค์การ ในการเรียนรู้ถึงสถานการณ์ แนวคิด เทคนิคการดำเนินงาน นวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ และการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่งกันและกัน ภายในองค์การ เราต้องสร้างตัวเร่งในขับเคลื่อนให้สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์การให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งต้องตระหนักถึงความ สำคัญและความจำเป็นของการเรียนรู้ ระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์การ หากแต่ระดับของการลงมือเรียนรู้ อาจยังไม่เป็นระบบที่สมบูรณ์ เราไม่ควรรีรอ ที่จะพัฒนาองค์การของเรา อย่าปล่อยให้เหตุการณ์บางอย่างหรือกฎกติกาภาครัฐมาบีบบังคับให้เราต้องเรียนรู้เพื่อตัวเราเอง เพื่อกลุ่ม หรือเพื่อองค์การ บุคลากรทุกระดับ ต้องตระหนัก และร่วมมือกันพัฒนาองค์การ เราต้องร่วม กันเพิ่มศักยภาพความสามารถในการสร้างสรรค์อนาคตขององค์การอย่างต่อเนื่อง รามคำแหงเรามีความพร้อมในทุกด้านตั้งแต่ผู้บริหารที่ให้การสนับสนุน มีผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ในการให้คำปรึกษา และบุคลากรระดับปฏิบัติการที่มีคุณภาพ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบและเครือข่ายก็เอื้ออำนวย ดังนั้นความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์การให้ก้าวไปข้างหน้า สำหรับการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้จึงขึ้นอยู่กับเราท่านลูกพ่อขุนทุกคน.

โดย นายสุชาติ กิจธนะเสรี
สถาบันคอมพิวเตอร์


แหล่งอ้างอิงhttp://gotoknow.org/
http://th.wikipedia.org/
http://www.lsc.co.uk/defence/index.html?3_6_knowledge-management.html~MainFrame
http://www2.dede.go.th/training/Download/km/Document401.htm
http://www.tsoit.com/business_government_solution_overview.htm
http://www.lpcube.com/site/HTML/aboutkm_overview.html
http://www.sobkroo.com/ct_17.htm
http://arit.cmru.ac.th/km/file/25known.doc
http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document9786.html